โรคเบาหวานใกล้ตัววัยทองกว่าที่คิด

เพราะช่วง “วัยทอง” เป็นช่วงวัยที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะระดับฮอร์โมนที่ลดลงทั้งเพศหญิงและเพศชาย ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่หลายคนอาจไม่ทันตั้งตัว จากสถิติพบว่า 1 ใน 3 ของคนวัยทองมีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) โดยที่ไม่รู้ตัว และอีกร้อยละ 20 มีโรคเบาหวานแล้วแต่ยังไม่แสดงอาการชัดเจน

โรคเบาหวาน ในวัยทองเกิดจากหลายปัจจัย นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนยังส่งผลให้การทำงานของอินซูลินในร่างกายผิดปกติ รวมถึงการสะสมของไขมันบริเวณหน้าท้องที่มักพบได้บ่อยในคนวัยทองก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน นำไปสู่การเกิดโรคเบาหวานในที่สุด สิ่งสำคัญ คือ การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันโรคเบาหวานได้อย่างทันท่วงที

สัญญาณเตือนโรคเบาหวานที่ควรเฝ้าระวังในวัยทอง

โรคเบาหวานในวัยทองอาจแสดงอาการที่แตกต่างและซับซ้อนกว่าในวัยอื่น เนื่องจากร่างกายกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้านพร้อมกัน ทำให้บางครั้งอาการของโรคเบาหวานถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาการปกติของวัยทอง

1. การปัสสาวะผิดปกติ

การปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะในช่วงกลางคืน เป็นสัญญาณเตือนสำคัญของโรคเบาหวานของวัยทอง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าที่ไตจะดูดซึมกลับได้หมด น้ำตาลจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ พร้อมกับดึงน้ำออกมาด้วย ทำให้เกิดการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ

หลายคนในวัยทองมักเข้าใจผิดว่า การปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืนเป็นเพียงปัญหาของต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย หรือการเปลี่ยนแปลงของกระเพาะปัสสาวะในผู้หญิงวัยทอง แต่หากพบว่ามีการปัสสาวะบ่อยเกิน 2 – 3 ครั้งในเวลากลางคืน โดยไม่ได้ดื่มน้ำมากก่อนนอน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

2. ความกระหายน้ำที่ผิดปกติ

ความกระหายน้ำมากผิดปกติ ก็เป็นอีกสัญญาณเตือนที่สำคัญ เพราะเมื่อร่างกายของวัยทองสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย จะเกิดกลไกชดเชยโดยการกระตุ้นความรู้สึกกระหายน้ำ คนวัยทองที่มีภาวะเบาหวานอาจรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรงตลอดเวลา แม้ในสภาพอากาศปกติหรือหลังจากดื่มน้ำไปแล้ว

อาการนี้จึงมักถูกมองข้าม เพราะในวัยทองหลายคนเริ่มมีอาการปากแห้งหรือขาดน้ำได้ง่ายอยู่แล้ว แต่หากพบว่าดื่มน้ำมากกว่า 3 ลิตรต่อวันโดยไม่ได้ออกกำลังกายหนัก หรือต้องมีน้ำติดตัวตลอดเวลา ควรพิจารณาว่าอาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน 

3. อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง

อาการอ่อนเพลียในวัยทองเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย แต่หากเป็นความอ่อนเพลียที่รุนแรงและเกิดขึ้นโดยไม่สัมพันธ์กับกิจกรรมที่ทำ หรือรู้สึกหมดแรงแม้หลังจากได้พักผ่อนเต็มที่แล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน สาเหตุนี้เกิดจากเมื่อร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เซลล์ต่างๆ จึงขาดพลังงาน ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลียอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงหลังรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดจะพุ่งสูงขึ้นแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว

4. การมองเห็นผิดปกติ

การเปลี่ยนแปลงของสายตาอย่างรวดเร็วของวัยทอง เช่น สายตาพร่ามัวมากขึ้นอย่างผิดปกติ มองเห็นจุดดำลอย หรือสายตาเปลี่ยนบ่อย จนต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณของระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่สม่ำเสมอ

การที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไปจะส่งผลต่อความชุ่มชื้นของเลนส์ตาและทำให้เกิดการบวมของเลนส์ ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมเป็นระยะเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในวัยทองและผู้สูงอายุ

5. แผลหายช้ากว่าปกติ

แผลที่หายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้า เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงโรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังจะทำลายหลอดเลือดและเส้นประสาท ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บลดลง ส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเกิดขึ้นช้ากว่าปกติ

ในวัยทองที่ระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเริ่มเสื่อมถอยตามธรรมชาติอยู่แล้ว หากสังเกตเห็นว่าแผลเล็กๆ ใช้เวลานานกว่า 2 สัปดาห์ในการหาย หรือมีการติดเชื้อซ้ำๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่โรคติดต่อไม่เรื้อรังเพิ่มได้ 13:03/68

6. น้ำหนักลดลงโดยไม่ได้ตั้งใจ

การลดลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เป็นสัญญาณอันตรายที่ควรพบแพทย์โดยเร็ว

ในภาวะที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายจะหันไปสลายไขมันและกล้ามเนื้อเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน ทำให้น้ำหนักลดลงแม้จะรับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้น คนวัยทองที่มีน้ำหนักลดลงมากกว่า 5% ของน้ำหนักตัวภายในเวลา 6 – 12 เดือน โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

7. อาการชาตามปลายมือปลายเท้า

อาการชา เสียวแปลบ หรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามปลายมือปลายเท้า โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือตอนเช้า เป็นสัญญาณของภาวะปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน (Diabetic Neuropathy)

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้วัยทองเกิดความผิดปกติในการรับความรู้สึก ในวัยทองที่มีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อต่ออยู่แล้ว อาการชาอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคข้อเสื่อมหรือกระดูกทับเส้นประสาท ทำให้การวินิจฉัยโรคเบาหวานล่าช้าออกไป

8. อาการคันตามผิวหนังโดยไม่มีผื่น

อาการคันตามผิวหนังที่ไม่ได้เกิดจากผื่นแพ้หรือการติดเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ร่องก้น หรือขาหนีบ อาจเป็นสัญญาณของระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงผิดปกติ

เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงของวัยทอง อาจเกิดภาวะผิวหนังแห้ง (Xerosis) จากการเสียน้ำทางปัสสาวะมากเกินไป และในผู้หญิงวัยทองอาจพบการติดเชื้อราในช่องคลอดได้บ่อยขึ้น เนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่มีน้ำตาลสูง ผสมกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลง ทำให้ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศบางลงและมีภูมิคุ้มกันต่ำลง

9. ความสัมพันธ์กับอาการร้อนวูบวาบ

อาการร้อนวูบวาบ เป็นอาการปกติที่พบได้ในผู้หญิงวัยทอง แต่งานวิจัยล่าสุดพบว่า ผู้หญิงวัยทองที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน จะมีอาการร้อนวูบวาบที่รุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยกว่าปกติ

กลไกนี้เกิดจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงและอินซูลินที่สูงมีผลไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง ทำให้เกิดการตอบสนองผิดปกติ เมื่อรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วตามด้วยการหลั่งอินซูลินจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบในช่วง 30-60 นาทีหลังรับประทานอาหาร

10. ความผิดปกติของสุขภาพในช่องปาก

อาการในช่องปากที่ผิดปกติ เช่น เหงือกบวมแดง เหงือกเลือดออกง่าย ปากแห้ง กลิ่นปากที่เหมือนผลไม้ หรือมีการติดเชื้อในช่องปากบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานที่มักถูกมองข้าม

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะส่งผลให้น้ำตาลในน้ำลายสูงตามไปด้วย ทำให้เชื้อแบคทีเรียในช่องปากเจริญเติบโตได้ดี นำไปสู่การอักเสบของเหงือกและฟัน และยังส่งผลให้เกิดอาการปากแห้งจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไปของวัยทอง

11. การติดเชื้อบ่อยและหายช้า

การติดเชื้อบ่อยกว่าปกติ เช่น เป็นหวัดซ้ำๆ เป็นแผลเปื่อย มีฝีหนอง หรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง โดยที่การติดเชื้อเหล่านั้นมักหายช้ากว่าคนทั่วไป อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน

ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรคลดลง ในขณะเดียวกัน น้ำตาลที่สูงในเลือดและเนื้อเยื่อยังเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้การติดเชื้อรุนแรงและหายช้ากว่าปกติ

การเฝ้าระวังและตรวจคัดกรองโรคเบาหวานในวัยทอง

เนื่องจากโรคเบาหวานในวัยทอง มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยวัยทองควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานอย่างน้อยทุก 1 – 3 ปี หรือถี่ขึ้นหากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น

  • มีประวัติเบาหวานในครอบครัว
  • มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง
  • มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดผิดปกติ
  • มีภาวะ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS)
  • มีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือด

การตรวจคัดกรองโรคประกอบด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar: FBS) อย่างน้อย 8 ชั่วโมง และการตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งบ่งบอกถึงค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา

ความเชื่อมโยงระหว่างอาหารหวานกับอาการร้อนวูบวาบในวัยทอง

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า การบริโภคอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูงในคนวัยทอง มีความสัมพันธ์กับความถี่และความรุนแรงของอาการร้อนวูบวาบ 06:10/67โดยตรง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทอง เมื่อรับประทานอาหารหวานหรืออาหารที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพื่อลดระดับน้ำตาล

การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลและอินซูลินอย่างรวดเร็วนี้ สามารถไปกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติและศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดและเหงื่อออกมากผิดปกติ เกิดเป็นอาการร้อนวูบวาบที่รบกวนชีวิตประจำวันของคนวัยทอง

นอกจากนี้…การรับประทานอาหารหวานยังเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นอีกกลไกสำคัญที่ทำให้อาการร้อนวูบวาบรุนแรงขึ้น ดังนั้น การลดหรืองดอาหารหวานจึงเป็นการจัดการกับทั้งความเสี่ยงโรคเบาหวานและอาการร้อนวูบวาบไปพร้อมกัน

อาหารที่คนวัยทองควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

ช่วงวัยทองเป็นระยะที่ร่างกายกำลังปรับเปลี่ยนสมดุลฮอร์โมนครั้งใหญ่ ทำให้กระบวนการควบคุมน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนไปอย่างมาก การเลือกหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

ลองมาดูกันว่า อาหารประเภทใด ที่คนวัยทองควรพิจารณาหลีกเลี่ยงเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีต่อร่างกายของตนเอง

1. น้ำตาลและขนมหวาน

น้ำตาลทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลมะพร้าว หรือแม้แต่น้ำผึ้งและน้ำเชื่อมต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในวัยทองที่ร่างกายสร้างและตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง การรับประทานขนมหวานเพียงชิ้นเดียว เช่น เค้กชิ้นเล็ก คุกกี้ 2-3 ชิ้น หรือไอศกรีม 1 สคูป อาจทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงขึ้นเกิน 180 มก./ดล. ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มก่อให้เกิดอันตรายต่อหลอดเลือดและเซลล์ต่างๆ 

นอกจากนี้การบริโภคน้ำตาลสม่ำเสมอยังกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นรากฐานของโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่นๆ 

  • ขนมไทยดั้งเดิม – ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ขนมเปียกปูน สังขยา ซึ่งล้วนมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก
  • ขนมหวานในน้ำกะทิ – บัวลอย เผือกแกงบวด ลอดช่อง ทับทิมกรอบ มีทั้งน้ำตาลและกะทิซึ่งมีไขมันสูง
  • ขนมพื้นบ้าน – ขนมครก ขนมตาล ขนมกล้วย ขนมมัน มีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก
  • ขนมอบสมัยใหม่ – โดนัท คัพเค้ก ครัวซองต์ ชูครีม มีทั้งแป้งขัดขาวและน้ำตาลในปริมาณมาก

2. เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

คุณผู้อ่านท่านใดที่ชอบทานน้ำอัดลมทราบหรือไม่ว่า… น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (330 มล.) มีน้ำตาลประมาณ 8 – 10 ช้อนชา หรือประมาณ 40 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคต่อวัน (ไม่เกิน 25 กรัมสำหรับผู้หญิง และ 36 กรัมสำหรับผู้ชาย) ทำให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการพุ่งขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดอย่างฉับพลัน (Blood Sugar Spike) อันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในระยะยาว โดยเฉพาะในคนวัยทองที่มีเซลล์ตับอ่อนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว และยิ่งช่วงนี้ที่อากาศร้อนมากขึ้น น้ำหวานจึงกลายเป็นเมนูดับร้อนในช่วงนี้ 02:03/68

  • ชานมไข่มุก – หนึ่งแก้วมีน้ำตาลสูงถึง 8 – 12 ช้อนชา
  • กาแฟเย็นปรุงสำเร็จ – โอลีฟ เนสกาแฟ ที่มักเติมน้ำตาลและครีมเทียมในปริมาณมาก
  • น้ำหวานสมุนไพร – น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบเตย น้ำอัญชัน ที่มักเติมน้ำตาลจำนวนมาก
  • น้ำอัดลมท้องถิ่น – น้ำแดง เอสโคล่า น้ำเขียว ที่มีน้ำตาลสูงมาก
  • นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม – ยาคูลท์ ดัชมิลล์ เป็นต้น ที่มีน้ำตาลซ่อนอยู่มาก
  • นมรสหวาน – นมรสช็อคโกแลต นมรสสตรอเบอร์รี่ ที่เติมน้ำตาลและสารแต่งรส

3. อาหารแป้งขัดขาว

กระบวนการขัดสีธัญพืชทำให้เส้นใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ถูกกำจัดออกไป เหลือเพียงแป้งและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายย่อยและเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว อาหารประเภทข้าวขาว ขนมปังขาว บะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว โรตี หรือแม้แต่มันฝรั่งทอด มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงถึง 70 – 90 (จากคะแนนเต็ม 100) ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะเปลี่ยนอาหารเหล่านี้เป็นน้ำตาลกลูโคสได้อย่างรวดเร็วแทบจะไม่ต่างจากการรับประทานน้ำตาลทรายโดยตรง

การบริโภคอาหารแป้งขัดขาวเป็นประจำจะทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินบ่อยครั้งและในปริมาณมาก จนเกิดการเสื่อมของเซลล์ตับอ่อนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน นำไปสู่โรคเบาหวานในที่สุด

  • ข้าวขาว – อาหารหลักของคนไทย แต่มีดัชนีน้ำตาลสูง ควรเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่แทน
  • ก๋วยเตี๋ยวและเส้นต่างๆ – ก๋วยเตี๋ยวเส้นหมี่ เส้นใหญ่ บะหมี่ เส้นหมี่ขาว เส้นเล็ก
  • ขนมปังขาว – ขนมปังปอนด์ ขนมปังแซนด์วิช โรตี ปาท่องโก๋
  • อาหารว่างจากแป้ง – ซาลาเปา ขนมจีบ ปอเปี๊ยะทอด ปาท่องโก๋ มันทอด
  • ขนมขบเคี้ยว – ขนมปังกรอบ แครกเกอร์ บิสกิต ขนมวางขายตามร้านสะดวกซื้อ

4. ผลไม้รสหวานจัด

แม้ผลไม้จะมีวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อวัยทอง แต่ผลไม้บางชนิดมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสสูงมาก ทำให้ผลไม้น้ำตาลสูงวัยทองจึงควรหลีกเลี่ยง 15:02/68 เช่น 

ทุเรียน 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 27 กรัม 

ลำไย 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 13 กรัม 

มะม่วงสุก 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 14 กรัม และ

องุ่น 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 16 กรัม 

น้ำตาลฟรุกโตสในผลไม้เหล่านี้แม้จะไม่ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นทันทีเหมือนกลูโคส แต่จะถูกนำไปสะสมเป็นไขมันที่ตับได้ง่าย ก่อให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คนวัยทองจึงควรเลือกรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำและมีใยอาหารสูงแทน

  • ทุเรียน – ผลไม้ที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูงมาก โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทองและก้านยาว
  • ลำไย – มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง กินง่ายและกินได้ครั้งละมากๆ
  • มะม่วงสุก – เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงอกร่อง ที่มีปริมาณน้ำตาลสูงมาก
  • ขนุน – หวานจัดและกินได้คราวละมาก
  • น้อยหน่า – มีรสหวานและแคลอรี่สูง
  • ละมุด – มีความหวานสูงมากเมื่อสุกเต็มที่
  • เงาะ – มีน้ำตาลสูงโดยเฉพาะเงาะโรงเรียน

5. อาหารแปรรูป

อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง หรือขนมขบเคี้ยวต่างๆ คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่ามักมีส่วนผสมหลักเป็นแป้งขัดขาว น้ำตาล และไขมันทรานส์ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ อาหารแปรรูปยังมักมีโซเดียมและวัตถุกันเสียสูง ซึ่งกระตุ้นการอักเสบและทำลายความสมดุลของจุลชีพในลำไส้ ส่งผลให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ยิ่งขึ้น 

จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า การบริโภคอาหารแปรรูปเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึงร้อยละ 40 โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทอง ตัวอย่างอาหารแปรรูปที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอด และอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งต่างๆ

  • อาหารกระป๋อง – ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ แกงเขียวหวานกระป๋อง มักมีน้ำตาลและโซเดียมสูง
  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป – มาม่า ยำยำ ไวไว มีแป้งขัดขาวและโซเดียมสูง
  • น้ำพริกสำเร็จรูป – น้ำพริกเผา น้ำพริกนรก น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มซีฟู้ด มักเติมน้ำตาลมาก
  • เครื่องปรุงรสสำเร็จรูป – ผงปรุงรส ซุปก้อน ซอสปรุงรสต่างๆ
  • ขนมขบเคี้ยว – มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบกุ้ง ขนมกรุบกรอบต่างๆ
  • อาหารแช่แข็งพร้อมอุ่น – ข้าวผัดแช่แข็ง กระเพราหมูสับแช่แข็ง ที่มักเติมน้ำตาลและผงชูรส

6. แอลกอฮอล์

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เพียงให้พลังงานสูงโดยไร้คุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของตับซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายของวัยทองได้รับแอลกอฮอล์ ตับจะหยุดกระบวนการอื่นๆ รวมถึงการสร้างกลูโคสใหม่ เพื่อจัดการกับแอลกอฮอล์ก่อน ทำให้เกิดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน ส่งผลให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดผิดปกติ 

โดยเฉพาะในคนวัยทองที่มีระบบฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายชนิด เช่น เบียร์ ไวน์หวาน และค็อกเทล มีน้ำตาลสูงโดยธรรมชาติหรือจากการปรุงแต่ง ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคเบาหวาน

  • เบียร์ – มีคาร์โบไฮเดรตสูงเทียบเท่าขนมปัง 1-2 แผ่นต่อขวด
  • ไวน์หวาน – ไวน์ผลไม้ ไวน์กระเจี๊ยบ ไวน์สมุนไพรที่มีการเติมน้ำตาล
  • เหล้าผสม – วิสกี้โซดา เหล้าปั่น เหล้าผสมน้ำอัดลม
  • คอกเทล – เครื่องดื่มผสมที่มักเติมน้ำตาลหรือน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง
  • สาโท อุ – เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พื้นบ้านที่มีปริมาณน้ำตาลสูง

7. อาหารทอดและไขมันทรานส์

อาหารทอดในน้ำมันที่ใช้ซ้ำหลายครั้งหรือรับประทานร้อนจัด มักมีไขมันทรานส์และสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาไหม้ของน้ำมันสูง สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายและขัดขวางการทำงานของอินซูลิน 

ไขมันทรานส์ยังพบได้ในเนยเทียม ครีมเทียม เบเกอรี่ อาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากจะเพิ่มไขมันไม่ดี (LDL) และลดไขมันดี (HDL) แล้ว ยังส่งผลให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะดื้อต่ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2

8. อาหารรสเค็มจัด

แม้โซเดียมจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำตาลในเลือด แต่การบริโภคโซเดียมสูงเป็นประจำจะส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มักพบร่วมกับโรคเบาหวาน อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น 

  • อาหารดอง
  • อาหารแปรรูป
  • ซอสปรุงรส
  • ซุปกึ่งสำเร็จรูป 
  • และขนมขบเคี้ยวต่างๆ 

หากรับประทานเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนสำคัญของโรคเบาหวาน คนวัยทองควรจำกัดการบริโภคโซเดียมไม่ให้เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

อาหารทางเลือกสำหรับวัยทอง เริ่มตอนนี้ก็ยิ่งห่างไกลโรคเบาหวาน

1. โปรตีนคุณภาพสูง

โปรตีน เป็นหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับคนวัยทอง เนื่องจากช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ทำให้อิ่มนาน และช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อซึ่งมักลดลงตามวัย นอกจากจะมีให้เลือกทานได้จากเนื้อสัตว์หลากชนิด ปัจจุบันการทานโปรตีนจากพืชก็ได้รับความนิยมในวัยทองไม่แพ้กัน 05:02/68

แหล่งโปรตีนคุณภาพดี

  • ปลา โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ซึ่งไม่เพียงให้โปรตีนคุณภาพสูง แต่ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคหัวใจ
  • ไข่ แหล่งโปรตีนราคาประหยัดที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ไข่ไก่หนึ่งฟองมีโปรตีนประมาณ 6 กรัม พร้อมวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ
  • เต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ทางเลือกโปรตีนที่ดีสำหรับวัยทองที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เต้าหู้ยังมีสารไอโซฟลาโวนที่อาจช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิง
  • ถั่วเมล็ดแห้ง ทั้งถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลิสง นอกจากโปรตีนแล้วยังมีใยอาหารสูงซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล

เมนูแนะนำทานง่าย อร่อยด้วย

  1. แกงเขียวหวานปลาแซลมอนใส่ผักรวม ปลาแซลมอนให้โปรตีนคุณภาพสูงและไขมันโอเมก้า-3 ส่วนพริกแกงเขียวหวานมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใส่ผักหลากหลาย เช่น มะเขือพวง มะเขือเปราะ ใบโหระพา เพิ่มใยอาหาร
  2. พะแนงเต้าหู้ ใช้เต้าหู้แข็งแทนเนื้อสัตว์ในพะแนง น้ำพะแนงที่เข้มข้นด้วยสมุนไพรหลายชนิด โดยเฉพาะขมิ้นและพริกไทยซึ่งมีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

2. ไขมันดี

ไขมันที่ดีต่อสุขภาพวัยทองไม่เพียงช่วยเพิ่มความอิ่มและรสชาติให้อาหาร แต่ยังชะลอการดูดซึมน้ำตาลและลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคเบาหวาน

แหล่งไขมันที่ดีต่อสุขภาพ

  • น้ำมันมะกอก อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
  • อะโวคาโด ผลไม้ที่อุดมด้วยไขมันดี วิตามินอี และโพแทสเซียม ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  • ถั่วและเมล็ดพืช แหล่งของไขมันดี โปรตีน และแร่ธาตุสำคัญ เช่น ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน
  • ปลาทะเลน้ำลึก แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพหัวใจและสมอง

เมนูแนะนำทานง่าย อร่อยด้วย

  1. น้ำพริกอะโวคาโด นำอะโวคาโดสุกมาตำกับพริกขี้หนู กระเทียม น้ำมะนาว เกลือเล็กน้อย ทานคู่กับผักต้มหรือผักสด เป็นเมนูที่ให้ไขมันดีและรสชาติกลมกล่อมแบบไทย
  2. ยำถั่วลิสงคั่วกับปลาทูน่า ผสมถั่วลิสงคั่วกับปลาทูน่ากระป๋องในน้ำแร่ เติมน้ำมะนาว พริก หอมแดง ผักชีฝรั่ง เป็นเมนูที่เต็มไปด้วยโปรตีนและไขมันดี

3. ผักใบเขียวและผักหลากสี

ผักใบเขียวและผักหลากสีเป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่เหมาะสำหรับวัยทองมากๆ การบริโภคผักหลากหลายชนิดช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ผักที่แนะนำเป็นพิเศษสำหรับคนวัยทอง

  • ผักคะน้า อุดมด้วยแคลเซียม วิตามินเค และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันกระดูกพรุนซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในวัยทอง
  • ผักโขม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะลูทีนและซีแซนทิน ที่ช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
  • บรอกโคลี มีสารซัลโฟราเฟน ที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย และมีวิตามินซีสูง
  • ผักบุ้ง แหล่งธาตุเหล็กและวิตามินเอ ราคาไม่แพงและหาง่ายในท้องตลาดไทย
  • มะเขือม่วง มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยป้องกันการอักเสบและมีใยอาหารสูง
  • พริกหวาน อุดมด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ให้สีสันและรสชาติแก่อาหารโดยไม่เพิ่มแคลอรี่มากนัก

เมนูแนะนำที่ทานง่าย และอร่อยด้วย

  1. แกงเลียงผักรวม อาหารไทยที่อุดมด้วยผักหลายชนิด เช่น ฟักทอง บวบ ถั่วฝักยาว ข้าวโพดอ่อน ใบแมงลัก ปรุงรสด้วยกะปิและเครื่องแกงที่มีกระชาย ขมิ้น ข่า ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  2. ผัดผักบุ้งไฟแดง เมนูไทยยอดนิยมที่รสจัดจ้าน ใช้น้ำมันเพียงเล็กน้อย ผัดกับกระเทียม พริก น้ำปลา ซอสเห็ดหอม ให้รสชาติครบรสโดยไม่ต้องใช้น้ำตาล
  3. ยำผักรวม ผสมผักสดหลากหลาย เช่น แครอท มะเขือเทศ แตงกวา หอมแดง ผักชีฝรั่ง คลุกเคล้าด้วยน้ำยำรสเปรี้ยวหวานจากมะนาวและน้ำปลา ใช้หญ้าหวานหรือเอริทริทอลแทนน้ำตาลสำหรับความหวานเล็กน้อย

4. ธัญพืชไม่ขัดสี

คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า…ธัญพืชไม่ขัดสีมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าธัญพืชขัดสีด้วยนะ เนื่องจากยังคงมีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่อยู่ในเปลือกหุ้มเมล็ดไว้ครบถ้วน

ธัญพืชไม่ขัดสีที่แนะนำ

  • ข้าวกล้อง แหล่งพลังงานหลักทดแทนข้าวขาว อุดมด้วยใยอาหาร วิตามินบี และแร่ธาตุสำคัญ
  • ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสีม่วงที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน ช่วยลดการอักเสบและมีดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • ข้าวสังข์หยด ข้าวพื้นเมืองของไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและมีดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • ควินัว ธัญพืชที่ให้โปรตีนสมบูรณ์ กรดอะมิโนครบถ้วน และมีดัชนีน้ำตาลต่ำมาก
  • ลูกเดือย (ข้าวสาลี) ธัญพืชไทยโบราณที่มีประโยชน์สูง มีโปรตีนและแร่ธาตุมากกว่าข้าวขาว
  • ขนมปังโฮลวีต ทำจากแป้งสาลีที่ไม่ผ่านการขัดสี ให้ใยอาหารสูงและมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าขนมปังขาว

เมนูแนะนำที่ทานง่าย และอร่อยด้วย

  1. ข้าวกล้องผัดกระเพราไก่ไข่ดาว ใช้ข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่แทนข้าวขาว ผัดกับเนื้อไก่สับและผักหลากชนิด ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำปลา พริก กระเทียม ใบกระเพรา โดยไม่ต้องใส่น้ำตาล
  2. ซุปลูกเดือยกับเห็ดหอม ต้มลูกเดือยกับรากผักชี กระเทียม เห็ดหอม และไก่ฉีก ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำปลาเล็กน้อย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อิ่มนานและมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร

5. ผลไม้ดัชนีน้ำตาลต่ำ

แม้คนวัยทองควรระวังการบริโภคน้ำตาล แต่ไม่จำเป็นต้องงดผลไม้ทั้งหมด การเลือกผลไม้ที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำและรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารโดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเกินไป

ผลไม้ที่แนะนำสำหรับคนวัยทอง

  • แอปเปิ้ล มีใยอาหารเพกตินสูง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอล
  • ส้ม อุดมด้วยวิตามินซีและใยอาหาร มีดัชนีน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ
  • ฝรั่ง ผลไม้ไทยที่มีวิตามินซีสูงมาก มีใยอาหารสูง และมีดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • สตรอเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ให้ความหวานน้อย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำตาล
  • มะละกอสุกพอดี มีเอนไซม์ปาเปน ช่วยย่อยอาหาร และมีวิตามินเอและซีสูง ควรเลือกมะละกอที่สุกพอดี ไม่สุกงอม
  • มะม่วงดิบ มีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่ามะม่วงสุกมาก มีรสเปรี้ยวและกลิ่นหอม ให้วิตามินซีสูง

เมนูแนะนำที่ทานง่าย และอร่อยด้วย

  1. ส้มตำฝรั่ง ใช้ฝรั่งแทนมะละกอ ตำกับมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว พริก กระเทียม มะนาว ปรุงรสด้วยน้ำปลาแทนน้ำตาล
  2. สลัดผลไม้ดัชนีน้ำตาลต่ำกับโยเกิร์ต ผสมแอปเปิ้ล ส้ม สตรอเบอร์รี่ กับโยเกิร์ตกรีกไม่หวาน โรยด้วยเมล็ดเจีย เป็นอาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพและควบคุมน้ำตาลได้ดี

6. เครื่องเทศและสมุนไพร

คุณผู้อ่านน่าจะยังไม่ทราบกันว่าเครื่องเทศและสมุนไพรไทยหลายชนิด ไม่เพียงช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารโดยไม่ต้องพึ่งน้ำตาล แต่ยังมีคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอักเสบ

เครื่องเทศและสมุนไพรที่มีประโยชน์

  • อบเชย ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ให้กลิ่นหอมและรสหวานโดยธรรมชาติ
  • กระเทียม มีสารประกอบกำมะถันที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอล
  • ขิง ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการคลื่นไส้ และอาจช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในวัยทอง
  • ขมิ้น มีเคอร์คูมินซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่ทรงพลัง ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิด
  • พริกไทย มีสารพิเพอรีนที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารและกระตุ้นการเผาผลาญ
  • กานพลู มีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและต้านการอักเสบ
  • โหระพา กะเพรา สะระแหน่ สมุนไพรไทยที่มีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยย่อยอาหารและต้านการอักเสบ

เมนูแนะนำ

  1. ต้มยำกุ้งน้ำใส อาหารไทยที่อุดมด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก เห็ด ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวและน้ำปลา โดยไม่ต้องใส่น้ำตาล
  2. แกงเผ็ดไก่ใส่มะเขือและใบกระเพรา แกงที่มีสมุนไพรหลากหลาย ทั้งพริกแกง ใบกระเพรา ให้รสชาติเข้มข้นโดยไม่ต้องเติมน้ำตาล ใส่มะเขือหลายชนิดเพิ่มใยอาหาร
  3. ชาสมุนไพร ชงชาจากสมุนไพรไทย เช่น ใบเตย อัญชัน หญ้าหวาน ดอกคำฝอย ไม่ต้องเติมน้ำตาล ดื่มอุ่นๆ หรือเย็น ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและให้ความสดชื่น

7. สารให้ความหวานธรรมชาติ

สำหรับคนวัยทองที่ยังคงต้องการรสหวานในอาหารหรือเครื่องดื่ม สารให้ความหวานธรรมชาติบางชนิดสามารถใช้ทดแทนน้ำตาลได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด

สารให้ความหวานที่แนะนำ

  • หญ้าหวาน มีความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 200-300 เท่า แต่ไม่มีแคลอรี่และไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด มีจำหน่ายในรูปแบบผง น้ำ หรือเม็ด
  • เอริทริทอล แอลกอฮอล์น้ำตาลที่มีแคลอรี่ต่ำมาก (0.2 แคลอรี่ต่อกรัม) มีรสหวานประมาณ 70% ของน้ำตาลทราย ไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและฟัน
  • มอนค์ฟรุต สารสกัดจากผลไม้ในประเทศจีน มีความหวานมากกว่าน้ำตาล 100-250 เท่า ไม่มีแคลอรี่ และไม่ส่งผลต่อน้ำตาลในเลือด

เมนูแนะนำที่ทานง่าย และอร่อยด้วย

  1. บัวลอยเผือกหญ้าหวาน ใช้หญ้าหวานหรือเอริทริทอลแทนน้ำตาลในน้ำกะทิและแป้งบัวลอย ให้ความหวานโดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
  2. พุดดิ้งเมล็ดเจีย ผสมเมล็ดเจียกับนมอัลมอนด์ เติมความหวานด้วยหญ้าหวาน แต่งหน้าด้วยผลไม้ดัชนีน้ำตาลต่ำ เป็นของหวานที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 และใยอาหาร

และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณผู้อ่านได้ทานอาหารที่ถูกหลักและหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีและก่อให้เกิดโรคเบาหวานไม่รู้ตัว เราก็มีอาหารเสริมที่ดีที่ช่วยดูแลสุขภาพของวัยทองได้อย่างแน่นอนกับ

ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพสำหรับวัยทอง ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและอาการร้อนวูบวาบที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่คัดสรรอย่างพิถีพิถัน 6 ชนิด ที่มีประโยชน์เฉพาะสำหรับวัยทอง

  • 1. สารสกัดจากถั่วเหลือง

อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบที่เป็นปัญหาสำคัญในวัยทอง โดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารหวานที่เพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการบริโภคถั่วเหลืองอย่างสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของคนวัยทองที่ต้องระวังเรื่องโรคเบาหวาน

  • 2. สารสกัดจากตังกุย

สมุนไพรจีนที่มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมนและช่วยบรรเทาอาการของวัยทอง โดยเฉพาะอาการร้อนวูบวาบที่มักเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดมีความผันผวน ตังกุยยังช่วยปรับการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสำคัญมากสำหรับคนวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น ปัญหาหลอดเลือดและระบบประสาทส่วนปลาย

  • 3. สารสกัดจากแปะก๊วย

มีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนเลือด ซึ่งช่วยบรรเทาอาการชาตามปลายมือปลายเท้าที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวานในวัยทอง แปะก๊วยยังช่วยเพิ่มออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมอง ลดความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมที่อาจเกิดร่วมกับโรคเบาหวานในวัยทอง

  • 4. สารสกัดจากงาดำ

แหล่งของไขมันดีและแคลเซียม ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาการร้อนวูบวาบในวัยทองรุนแรงขึ้น อีกทั้งงาดำยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เซซามิน และเซซาโมลิน ที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป

  • 5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และยังอุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันระบบทางเดินปัสสาวะซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะในวัยทองที่มีการเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมน

  • 6. อินูลิน พรีไบโอติก

ใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร เป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน การมีสุขภาพลำไส้ที่ดีมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการลดการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในวัยทองได้

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพวัยทองอย่างครบวงจร เพราะการดูแลสุขภาพในวัยทองจำเป็นต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้น ทั้งการลดลงของฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระบบเมตาบอลิซึม และความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติมากถึง 7 ชนิด

  • 1. โสมเกาหลี
  • 2. ฟีนูกรีก
  • 3. แอล อาร์จีนีน
  • 4. สารสกัดกระชายดำ
  • 5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
  • 6. สารสกัดจากแปะก๊วย
  • 7. สารสกัดจากงาดำ

ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติทั้ง 7 ชนิดของ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) สามารถเป็นส่วนเสริมสำคัญในการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรของวัยทอง

  1. ควบคู่กับการควบคุมอาหาร สารสกัดในดีเน่ แอนโดรพลัส โดยเฉพาะฟีนูกรีกและโสมเกาหลี ช่วยสนับสนุนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 
  2. เสริมประสิทธิภาพการออกกำลังกาย: แอล อาร์จีนีนและซิงค์ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและสนับสนุนการสร้างกล้ามเนื้อ 
  3. ลดการอักเสบในร่างกาย: สารสกัดกระชายดำ แปะก๊วย และงาดำ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
  4. บำรุงระบบประสาทและลดความเครียด: แปะก๊วยช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง และช่วยลดความเครียด 
  5. ให้สารอาหารที่จำเป็นสำหรับวัยทอง ซิงค์ งาดำ และโสมเกาหลี ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการรักษาสมดุลของฮอร์โมนในวัยทอง ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการป้องกันโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

การดูแลสุขภาพในวัยทองอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้ว

การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนวัยทองเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด

นอกจากการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายเป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับคนวัยทอง การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนวัยทองเพื่อป้องกันโรคเบาหวาน ก็มีอยู่มากมาย

วันนี้เราเลยคัดกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ และช่วยให้วัยทองมีสุขภาพดีขึ้นได้มาฝากกัน

  1. การเดินเร็ว เป็นกิจกรรมที่วัยทองสามารถทำได้ง่าย ปลอดภัย และทำได้ทุกที่ เพื่อประสิทธิภาพในการเผาผลาญน้ำตาลส่วนเกิน แนะนำให้วัยทองควรเดินอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
  2. ว่ายน้ำ – เป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อวัยทองอีกเช่นกัน เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่กระแทกข้อต่อ เหมาะสำหรับคนวัยทองที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าหรือกระดูกสันหลังมากๆ
  3. โยคะหรือไทชิ เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเครียด และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  4. การออกกำลังกายแบบแรงต้าน การยกน้ำหนักเบาๆ หรือใช้ยางยืด ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อซึ่งจะช่วยเผาผลาญน้ำตาลได้ดีขึ้น
  5. การปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเป็นจักรยานจริงหรือจักรยานอยู่กับที่ เป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับระบบหัวใจและการควบคุมน้ำตาล

การตรวจสุขภาพที่จำเป็นสำหรับคนวัยทองเพื่อเฝ้าระวังโรคเบาหวาน

การตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนวัยทองเพื่อเฝ้าระวังโรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน การตรวจที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ได้แก่

  1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด – ทั้งน้ำตาลขณะอดอาหาร (FBS) และน้ำตาลสะสม (HbA1c) อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
  2. การตรวจระดับไขมันในเลือด – โคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ เนื่องจากคนวัยทองที่เป็นเบาหวานมักมีไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย
  3. การตรวจวัดความดันโลหิต – อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมกับเบาหวาน
  4. การตรวจสุขภาพตา – โรคเบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาจอประสาทตา คนวัยทองควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง
  5. การตรวจสุขภาพไต – ตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะและการทำงานของไต เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง
  6. การตรวจเท้า – สังเกตแผล รอยช้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่เท้า เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้าจากเบาหวาน

นอกจากนี้วัยทองควรพบแพทย์เป็นประจำเพื่อประเมินความเสี่ยง และรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม การตรวจพบโรคเบาหวานหรือภาวะก่อนเบาหวานตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยให้การรักษาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีประสิทธิภาพมากที่สุด

สรุป

“โรคเบาหวาน” เป็นภัยเงียบที่คนวัยทองต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ยิ่งในช่วงที่โลกทุกวันนี้อาหารหลายอย่างมีหน้าตาที่ล่อตาล่อใจ และยิ่งประเทศไทยที่เป็นเมืองแห่งอาหารทำให้หลายท่านอาจลดละได้ยาก แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างถูกต้อง วัยทองจะสามารถลดความเสี่ยงและมีสุขภาพที่ดีได้ กุญแจสำคัญในการป้องกันโรคเบาหวานในวัยทอง ได้แก่

การเลิกทานของหวานและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในวัยทองไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานเท่านั้น แต่ยังช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบและเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม สุขภาพดีในวัยทองเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยความรู้และความใส่ใจในการดูแลตัวเอง

และอย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพของตนเองง่ายๆ ด้วยการทาน ดีเน่ DNAe ทุกวัน…