ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านเมื่อคุณผู้อ่านก้าวเข้าสู่ “วัยทอง” โดยเฉพาะระบบเมตาบอลิซึมที่ทำงานช้าลง การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม ทำให้วัยทองมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากขึ้น และโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในวัยทอง ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เมื่อไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ได้ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างเบาหวานประเภท 1 และประเภท 2 จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถป้องกัน ดูแล และรักษาได้อย่างถูกต้อง
“โรคเบาหวาน” หรือ Diabetes Mellitus เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างปกติ สาเหตุหลักมาจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือร่างกายของวัยทองไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“อินซูลิน” เป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายดูดซับน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าไปใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินไม่เพียงพอหรือทำงานไม่ปกติ น้ำตาลก็จะสะสมอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือที่เรียกว่า ไฮเปอร์ไกลซีเมีย นั่นเอง ปัจจุบันโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท แต่ที่พบบ่อยที่สุดและมีความสำคัญต่อวัยทองคือ เบาหวานประเภท 1 และเบาหวานประเภท 2 ซึ่งแต่ละประเภทมีสาเหตุ ลักษณะ และวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
เบาหวานประเภท 1
เบาหวานประเภท 1 หรือ Type 1 Diabetes เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีและทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก
- สาเหตุของเบาหวานประเภท 1
เบาหวานประเภท 1 เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือที่เรียกว่า Autoimmune Disease ซึ่งสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่นอน แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเกิดเบาหวานประเภท 1 หากมีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
นอกจากนี้…ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด การได้รับสารพิษ หรือความเครียดทางร่างกายและจิตใจ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย
- ลักษณะเฉพาะของเบาหวานประเภท 1
เบาหวานประเภท 1 มักเกิดขึ้นในเด็กและวัยรุ่น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย รวมถึงวัยทองด้วย โรคนี้มีลักษณะพิเศษ คือ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการจะปรากฏชัดเจนภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน ผู้ที่เป็นเบาหวานประเภท 1 จะต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เพราะตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย การหยุดฉีดอินซูลินอาจนำไปสู่ภาวะคีโตแอซิโดซิสที่อันตรายถึงชีวิตได้
- อาการของเบาหวานประเภท 1 ในวัยทอง
แม้ว่าเบาหวานประเภท 1 จะพบน้อยในวัยทอง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ อาการที่ควรสังเกตในวัยทองได้แก่ การกระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก รู้สึกหิวบ่อย แต่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และอาจมีการหายใจที่มีกลิ่นผลไม้หรือกลิ่นหวาน
เบาหวานประเภท 2
เบาหวานประเภท 2 หรือ Type 2 Diabetes เป็นโรคเบาหวานที่พบบ่อยที่สุดในวัยทอง โดยคิดเป็นประมาณ 90 – 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน และ/หรือตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
- สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานประเภท 2
เบาหวานประเภท 2 เกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกัน ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะการสะสมไขมันในช่วงท้อง เพราะไขมันจะสร้างสารที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิ อายุที่เพิ่มขึ้นก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นการทำงานของตับอ่อนจะลดลง และกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ดูดซับน้ำตาลก็จะลดลงเช่นกัน นอกจากนี้…การขาดการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ความเครียด การนอนไม่เพียงพอ และปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญ
- ลักษณะของเบาหวานประเภท 2 ในวัยทอง
เบาหวานประเภท 2 มีลักษณะพิเศษ คือ มักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาการอาจไม่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยหลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคนี้ จนกระทั่งมีการตรวจสุขภาพหรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ในวัยทอง เบาหวานประเภท 2 มักมาพร้อมกับโรคอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง ทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น และต้องการการดูแลอย่างรอบด้าน
- อาการเตือนใจของเบาหวานประเภท 2
อาการของเบาหวานประเภท 2 ในระยะแรกมักไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคดำเนินไปนาน อาการจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น อาการที่ควรสังเกตได้แก่ ความกระหายน้ำเพิ่มขึ้น การปัสสาวะบ่อย ความหิวที่เพิ่มขึ้น ความเหนื่อยล้า การมองเห็นที่ไม่ชัดเจน แผลที่หายช้า และการติดเชื้อบ่อย
เมื่อทราบถึงสาเหตุ, ลักษณะอาการ และอาการที่สามารถพบเจอได้แล้ว
ต่อมา…ลองมาดูและเปรียบเทียบความแตกต่างของเบาหวานทั้ง 2 ประเภทนี้
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น
ความแตกต่างสำคัญระหว่างเบาหวานประเภท 1 และ 2
- ด้านสาเหตุและกลไกการเกิดโรค
เบาหวานประเภท 1 เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ผลิตอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย… ในขณะที่เบาหวานประเภท 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลินและ/หรือการผลิตอินซูลินที่ไม่เพียงพอ
กลไกการเกิดโรคที่แตกต่างกันนี้ส่งผลต่อวิธีการรักษาและการดูแลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้ที่เป็นเบาหวานประเภท 1 จะต้องพึ่งพาอินซูลินจากภายนอกตลอดชีวิต ในขณะที่ผู้ที่เป็นเบาหวานประเภท 2 อาจสามารถควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและยาลดน้ำตาล ซึ่งเกิดได้บ่อยในช่วงวัยทอง
- ช่วงอายุที่เกิดโรค
เบาหวานประเภท 1 มักเกิดในเด็กและวัยรุ่น แต่ก็สามารถเกิดได้ในทุกวัย… ส่วนเบาหวานประเภท 2 มักเกิดในผู้ใหญ่และวัยทอง โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
สำหรับวัยทอง…เบาหวานประเภท 2 เป็นสิ่งที่พบบ่อยมาก ในขณะที่เบาหวานประเภท 1 พบน้อยมาก แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม
- ความรุนแรงของอาการ
เบาหวานประเภท 1 มักมีอาการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภายในไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน… ในขณะที่เบาหวานประเภท 2 มักมีอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก
ความแตกต่างนี้ทำให้การวินิจฉัยเบาหวานประเภท 1 มักเกิดขึ้นเร็วกว่า เพราะผู้ป่วยจะแสดงอาการที่ชัดเจนและมาพบแพทย์ ส่วนเบาหวานประเภท 2 อาจถูกค้นพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี
- การรักษา
วิธีการรักษาของเบาหวานทั้งสองประเภทมีความแตกต่างอย่างชัดเจน เบาหวานประเภท 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาด้วยยาลดน้ำตาลชนิดรับประทานได้
ส่วนเบาหวานประเภท 2 สามารถรักษาได้หลายวิธี เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด – งดน้ำตาลชนิดรับประทาน 15:03/68 และอาจต้องใช้อินซูลินในระยะหลังหากการควบคุมไม่ดีพอ
- ความสามารถในการป้องกัน
เบาหวานประเภท 1 ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและภูมิคุ้มกัน… ในขณะที่เบาหวานประเภท 2 สามารถป้องกันได้หรือชะลอการเกิดได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
สำหรับวัยทอง การป้องกันเบาหวานประเภท 2 จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะสามารถทำได้และมีประสิทธิภาพ
…เพราะ “วัยทอง” โรคเบาหวานประเภท 2 เป็นจำนวนมากขึ้น
การรับรู้ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานประเภท 2 ในวัยทอง จึงมีความสำคัญมากขึ้น…
ปัจจัยเสี่ยงของ “โรคเบาหวาน” ในวัยทอง
เพราะวัยทองมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน โดยเฉพาะเบาหวานประเภท 2 มากกว่าวัยอื่นๆ การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถเตรียมตัวและป้องกันได้อย่างเหมาะสมแน่นอน
เริ่มต้นปัจจัยเสี่ยงแรกกับ…
- อายุที่เพิ่มขึ้น
อายุ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเบาหวานประเภท 2 เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของตับอ่อนจะลดลง เซลล์ต่างๆ ในร่างกายของวัยทองก็จะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้น และกล้ามเนื้อที่ช่วยดูดซับน้ำตาลก็จะลดลง
หลังอายุ 45 ปี ความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ ดังนั้น…การตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงมีความสำคัญมากต่อวัยทอง
- ความอ้วนและการกระจายตัวของไขมัน
ความอ้วน โดยเฉพาะการสะสมไขมันในช่วงหน้าท้อง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดเบาหวานประเภท 2 ไขมันที่สะสมรอบๆ อวัยวะภายในจะหลั่งสารต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ในวัยทอง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ทำให้การกระจายตัวของไขมันเปลี่ยนไป มักสะสมในช่วงท้องมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยงต่อเบาหวานเพิ่มขึ้น
- ประวัติครอบครัว
ปัจจัยทางพันธุกรรม มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดเบาหวาน หากมีพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงเป็นเบาหวาน จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป 2 – 6 เท่า
สำหรับเบาหวานประเภท 1 ปัจจัยทางพันธุกรรมมีความสำคัญมากกว่าเบาหวานประเภท 2 แต่สำหรับประเภท 2 ปัจจัยด้านพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
- การขาดการออกกำลังกาย
การนั่งนิ่งเป็นเวลานาน และการขาดการออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเบาหวานประเภท 2 การออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อดูดซับน้ำตาลได้ดีขึ้น และช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ในวัยทอง…การเคลื่อนไหวอาจลดลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพต่างๆ ทำให้ความเสี่ยงต่อเบาหวานเพิ่มขึ้น การหาวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- โรคร่วมและภาวะสุขภาพอื่นๆ
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด และ Sleep Apnea เป็นโรคที่มักพบร่วมกับเบาหวาน และเป็นปัจจัยเสี่ยงซึ่งกันและกัน
ในวัยทอง…โรคเหล่านี้มักพบบ่อย ทำให้ความเสี่ยงต่อเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างมาก การควบคุมโรคร่วมเหล่านี้จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อเบาหวานได้
- ประวัติการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
สำหรับผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานประเภท 2 ในภายหลังสูงกว่าปกติ โดยเฉพาะในวัยทอง
- ยาบางชนิด
ยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะบางชนิด และยาต้านไวรัส อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวาน ในวัยทองที่มักต้องใช้ยาหลายชนิด ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงนี้
อาการเตือนที่วัยทองอาจเป็นเบาหวาน
การรู้จักอาการเตือนใจของเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาเร็ว จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ อาการของเบาหวานในวัยทองอาจไม่ชัดเจนหรือคล้ายกับอาการของความเสื่อมตามวัย
ลองมาดูกันว่าจะมีอาการใดบ้าง ที่อาจบ่งบอกว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวาน…
- กระหายน้ำมากผิดปกติ เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน เกิดจากร่างกายพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้สูญเสียน้ำและเกิดความกระหายน้ำ ในวัยทองควรสังเกตว่ามีการดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติหรือไม่
- ปัสสาวะบ่อยและมาก เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไตจะขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะพร้อมกับน้ำจำนวนมาก ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- ความหิวเพิ่มขึ้น แม้จะกินอาหารแล้ว แต่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ ทำให้รู้สึกหิวบ่อยๆ
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะในเบาหวานประเภท 1 น้ำหนักจะลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ จึงต้องเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อแทน
- ความเหนื่อยล้าผิดปกติ เกิดจากเซลล์ต่างๆ ไม่ได้รับพลังงานจากน้ำตาลเพียงพอ ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา ในวัยทองอาการนี้อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากรุนแรงผิดปกติควรไปตรวจ
- การมองเห็นไม่ชัดเจน ระดับน้ำตาลสูงทำให้รูปร่างของเลนส์ตาเปลี่ยนไป ส่งผลต่อการมองเห็น อาการนี้อาจมาๆ หายๆ หรือค่อยๆ แย่ลง
- แผลหายช้า น้ำตาลสูงส่งผลต่อระบบไหลเวียนและภูมิคุ้มกัน ทำให้แผลเล็กๆ หายช้า หรือติดเชื้อง่าย ในวัยทองควรสังเกตแผลจากการบาดเจ็บเล็กน้อย
- การติดเชื้อบ่อย โดยเฉพาะการติดเชื้อราในอวัยวะสืบพันธุ์ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือแผลติดเชื้อบ่อย
อาการเฉพาะในวัยทอง
- ความจำเสื่อมหรือสับสน ระดับน้ำตาลที่ผิดปกติอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง ในวัยทองอาจมีอาการสับสนหรือความจำเสื่อมเพิ่มขึ้น
- การหกล้มบ่อย เบาหวานส่งผลต่อระบบประสาทและการทรงตัว ในวัยทองที่มีปัญหาการทรงตัวอยู่แล้ว อาจทำให้หกล้มบ่อยขึ้น
- ปัญหาการนอน ระดับน้ำตาลที่ไม่คงที่อาจส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้นอนไม่หลับหรือตื่นบ่อย
แนวทางการรักษาโรคเบาหวานประเภท 1 – 2
การรักษาเบาหวานในวัยทองต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น อายุ สภาวะสุขภาพโดยรวม โรคร่วมอื่นๆ ความสามารถในการดูแลตนเอง และคุณภาพชีวิต เป้าหมายของการรักษาคือการควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี
เป้าหมายการรักษาในวัยทอง
สำหรับวัยทองที่มีสุขภาพดีและคาดว่าจะมีอายุยืน เป้าหมาย HbA1c ควรอยู่ที่ต่ำกว่า 7% เช่นเดียวกับคนวัยอื่น แต่สำหรับผู้ที่มีโรคร่วมหลายอย่าง มีภาวะแทรกซ้อนแล้ว หรือมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ เป้าหมาย HbA1c อาจผ่อนปรนเป็น 7.5 – 8.5% การกำหนดเป้าหมายต้องเป็นรายบุคคล โดยแพทย์จะประเมินสภาวะสุขภาพโดยรวม อายุคาดการณ์ที่เหลือ และความเสี่ยงจากการรักษา
การรักษาเบาหวานประเภท 1 ในวัยทอง
การรักษาเบาหวานประเภท 1 ในวัยทอง มีความซับซ้อนมากกว่าในคนหนุ่มสาว เพราะต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและโรคร่วมอื่นๆ
- การใช้อินซูลิน ต้องปรับให้เหมาะสมกับวัย โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ อาจใช้อินซูลินแบบออกฤทธิ์ยาวที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือปรับขนาดให้น้อยลง
- การตรวจวัดน้ำตาลที่บ้าน สำคัญมาก แต่ในวัยทองอาจมีปัญหาด้านการมองเห็นหรือความช่วยเหลือในการใช้เครื่องมือ ควรเลือกเครื่องที่ใช้งานง่ายและมีตัวเลขขนาดใหญ่
- การศึกษาและการดูแลตนเอง ต้องปรับให้เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของแต่ละบุคคล อาจต้องมีผู้ดูแลร่วมในการจัดการโรค
การรักษาเบาหวานประเภท 2 ในวัยทอง
การรักษาเบาหวานประเภท 2 ในวัยทองเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และค่อยๆ เพิ่มยาตามความจำเป็น
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นรากฐานสำคัญของการรักษา รวมถึงการควบคุมอาหาร แนะนำให้วัยทองออกกำลังกายที่เหมาะสม และการลดน้ำหนัก
- ยาลดน้ำตาลชนิดรับประทาน มีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีข้อดีข้อเสียต่างกัน สำหรับวัยทองต้องเลือกยาที่มีความปลอดภัยสูงและความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำน้อย
- อินซูลิน อาจจำเป็นในระยะหลัง โดยเฉพาะเมื่อตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง การใช้อินซูลินในวัยทองต้องระมัดระวังเรื่องภาวะน้ำตาลต่ำเป็นพิเศษ
การจัดการโรคร่วม
วัยทองที่เป็นเบาหวานมักมีโรคร่วมอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต และไขมันในเลือดผิดปกติ การจัดการโรคเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการรักษา
- การควบคุมความดันโลหิต เป้าหมายสำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรต่ำกว่า 130/80 มม.ปรอท แต่สำหรับวัยทองอาจผ่อนปรนเป็น 140/90 มม.ปรอท
- การควบคุมไขมันในเลือด โดยเฉพาะ LDL cholesterol ควรต่ำกว่า 100 มก./ดล. หรือต่ำกว่า 70 มก./ดล. ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
เพราะวัยทองป้องกัน “โรคเบาหวานประเภท 2” ได้
การป้องกันเบาหวานประเภท 2 ในวัยทองเป็นสิ่งที่สามารถทำได้และมีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าจะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติของร่างกายได้ แต่เราสามารถชะลอและลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ การป้องกันที่ดีจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความจำเป็นในการใช้ยาหรือการรักษาที่ซับซ้อนในอนาคต
- การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมเป็นวิธีป้องกันเบาหวานที่มีประสิทธิภาพที่สุด สำหรับวัยทอง ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แต่ที่สำคัญกว่า คือ การลดไขมันส่วนเกินในช่วงหน้าท้อง
ไขมัน ที่สะสมรอบเอวเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน วัดรอบเอวโดยใช้เทปวัดรอบจุดที่แคบที่สุดของเอว สำหรับผู้หญิงควรไม่เกิน 80 เซนติเมตร และผู้ชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร หากเกินเกณฑ์นี้ ควรเริ่มลดน้ำหนักทันที
ซึ่งการลดน้ำหนักในวัยทองควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งเป้าหมายลดสัปดาห์ละ 0.5 – 1 กิโลกรัม การลดน้ำหนักเพียง 5 – 10% ของน้ำหนักตัวก็สามารถลดความเสี่ยงต่อเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญแล้ว
- การปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
อาหาร เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการป้องกันเบาหวาน แนะนำให้วัยทองเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดภาระการทำงานของตับอ่อน
เริ่มต้นด้วยการลด – งดการบริโภคน้ำตาลและแป้งที่ย่อยง่าย เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ข้าวขาว ขนมปังขาว แทนที่ด้วยคาร์โบไหเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้า เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เผือก มันเทศ ผักใบเขียว และพืชตระกูลถั่ว
เพิ่มการบริโภคใยอาหารจากผักและผลไม้ ใยอาหารจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เป้าหมาย คือ การรับประทานผักและผลไม้รวมกันวันละ 5 – 9 ส่วน โดยผักควรมากกว่าผลไม้ ซึ่งปัจจุบันพบว่าวัยทองไม่กินผักมีจำนวนที่มากขึ้น 09:03/68
โปรตีนคุณภาพดีจากปลา ไก่ ไข่ ถั่วเหลือง และนม จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ ซึ่งมีความสำคัญมากในวัยทองที่กล้ามเนื้อมีแนวโน้มลดลงตามธรรมชาติ
การควบคุมส่วนของอาหารก็สำคัญไม่แพ้กัน ใช้จานขนาดเล็กลง แบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง วันละ 5 – 6 มื้อ เพื่อป้องกันการขาดอาหารและการกินมากเกินไปในมื้อถัดมา
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย
การออกกำลังกาย เป็นประจำเป็นวิธีป้องกันเบาหวานที่มีประสิทธิภาพสูง แม้แต่การออกกำลังกายระดับปานกลาง ก็สามารถลดความเสี่ยงให้กับวัยทองได้เป็นอย่างดี
สำหรับวัยทอง…การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การเต้นแอโรบิก หรือการปั่นจักรยาน เป้าหมายคือการออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150 นาที หรือวันละ 30 นาที เป็นอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
การเดินเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวัยทอง เริ่มต้นจากการเดินวันละ 10 – 15 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเร็วตามความสามารถ การเดินหลังอาหาร 30 นาที จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
การออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อก็มีความสำคัญ เพราะกล้ามเนื้อเป็นอวัยวะที่ใช้น้ำตาลมากที่สุด การมีมวลกล้ามเนื้อที่ดีจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น ออกกำลังกายด้วยน้ำหนักเบาๆ หรือการใช้ยางยืดสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง
ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใดๆ ในวัยทอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน
- การจัดการความเครียดและการนอนหลับ
ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมาก ความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและอะดรีนาลีน ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น หากเกิดขึ้นเป็นประจำ จะส่งผลต่อการทำงานของอินซูลินในระยะยาว
การจัดการความเครียดที่มีประสิทธิภาพสำหรับวัยทอง ได้แก่ การทำสมาธิ การออกกำลังกายแบบโยคะหรือไทเก๊ก การทำกิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลาย เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ การทำสวน หรือการใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง
การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็น ควรนอนให้ได้ 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน มีเวลานอนและตื่นที่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ก่อนนอน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนอนหลับ
หากมีปัญหาการนอนหลับที่เรื้อรัง เช่น การนอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษา เพราะปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อเบาหวาน
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
การตรวจสุขภาพเป็นประจำเป็นกลยุทธ์สำคัญในการป้องกันและการค้นหาเบาหวานในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะสำหรับวัยทองที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือมีปัจจัยเสี่ยง ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อยการตรวจที่แนะนำได้แก่ การตรวจน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร หรือการตรวจ HbA1c ซึ่งแสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา
นอกจากการตรวจน้ำตาลแล้ว ควรตรวจสุขภาพโดยรวม รวมถึงความดันโลหิต ระดับไขมันในเลือด การทำงานของไต และน้ำหนัก เพื่อประเมินความเสี่ยงโดยรวมและวางแผนการป้องกันที่เหมาะสมหากผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ก่อนเบาหวาน (ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100 – 125 มก./ดล. หรือ HbA1c 5.7 – 6.4%) ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ควรเริ่มมาตรการป้องกันอย่างจริงจังทันที
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ นิโคตินจะส่งผลต่อการทำงานของอินซูลินและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน การเลิกสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันเบาหวาน
การดื่มแอลกอฮอล์ควรอยู่ในเกณฑ์ปริมาณที่เหมาะสม ผู้หญิงไม่ควรเกินวันละ 1 ดื่ม และผู้ชายไม่ควรเกินวันละ 2 ดื่ม การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะส่งผลต่อการทำงานของตับและตับอ่อน
การควบคุมโรคประจำตัวอื่นๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก็มีความสำคัญ โดยเฉพาะความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง ซึ่งมักเกิดร่วมกับเบาหวานและเสริมความรุนแรงซึ่งกันและกัน ดังนั้น หากเลิกเหล้าและบุหรี่ได้จะทำให้ร่างกายแข็งแรงมากยิ่งขึ้น 14:02/68
นอกจากการป้องกันด้วย 6 วิธีข้างต้นสำหรับวัยทอง ในการป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 แล้ว
การดูแล – การดำเนินชีวิตประจำวันเมื่อเป็นเบาหวานก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างเข้าใจสุขภาพ
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน การดูแลตนเองในชีวิตประจำวันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน สำหรับวัยทอง การดูแลตนเองต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ความสามารถในการปรับตัว และการรักษาคุณภาพชีวิตที่ดี
การดูแลตนเองที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ลดความจำเป็นในการเข้าโรงพยาบาล และป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในวัยทอง
- การวางแผนและการจัดการอาหารประจำวัน
การวางแผนอาหาร เป็นรากฐานสำคัญของการควบคุมเบาหวาน สำหรับวัยทองที่เป็นเบาหวาน การกินอาหารไม่ใช่เพียงแค่การหลีกเลี่ยงน้ำตาล แต่เป็นการสร้างระบบการรับประทานที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ตลอดวัน เริ่มต้นด้วยการแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ บ่อยครั้ง แทนการรับประทาน 3 มื้อใหญ่ การรับประทานอาหารทุกๆ 3 – 4 ชั่วโมง จะช่วยป้องกันการขึ้นลงของระดับน้ำตาลอย่างรุนแรง และช่วยให้การทำงานของอินซูลินมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้หลักการ “จานสุขภาพ” เป็นแนวทางที่ดีสำหรับวัยทอง โดยแบ่งจานออกเป็น 4 ส่วน ครึ่งหนึ่งของจานควรเป็นผักไม่มีแป้ง หนึ่งในสี่ควรเป็นโปรตีนไร้ไขมัน และอีกหนึ่งในสี่ควรเป็นคาร์โบไหเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง หรือขนมปังโฮลเกรน
นอกจากนี้การอ่านฉลากโภชนาการเป็นทักษะสำคัญ โดยเฉพาะการดูปริมาณคาร์โบไฮเดรต น้ำตาลที่เติมลงไป และใยอาหาร ผลิตภัณฑ์ที่มีใยอาหารสูงและน้ำตาลต่ำจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า การเตรียมอาหารล่วงหน้าจะช่วยให้การควบคุมอาหารง่ายขึ้น วางแผนเมนูสำหรับทั้งสัปดาห์ เตรียมส่วนผสมล่วงหน้า และมีของว่างเสริมที่เหมาะสมไว้พร้อม เช่น ถั่วอบ ผลไม้สด หรือนมเปรี้ยวไม่มีน้ำตาล
และไม่เพียงการวางแผนและการจัดการอาหารประจำวันเท่านั้นที่ควรทำ แต่หากรู้ว่าเราจะต้องขาดแร่ธาตุบางชนิด หรือคุณผู้อ่านบางท่านที่อยากจะเพิ่มเติม วันนี้เราก็มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดีต่อวัยทองมาแนะนำให้เหมือนเดิมอีกเช่นเคย….
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ใส่ใจสุขภาพในวัยทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันและดูแลปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในช่วงวัยนี้ รวมถึงการช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 ที่เป็นปัญหาสำคัญของวัยทอง
ผลิตภัณฑ์นี้มาในรูปแบบแคปซูลที่รับประทานง่าย อุดมสารสกัดธรรมชาติรวม 6 ชนิด ซึ่งได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ เพียงทานครั้งละ 1 เม็ด พร้อมอาหารมื้อที่สะดวก
6 สารสกัดธรรมชาติเพื่อสุขภาพวัยทอง
- 1. สารสกัดจากถั่วเหลืองจากสเปน
ถั่วเหลืองจากประเทศสเปนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์นี้เป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงที่อุดมไปด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติ มีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองที่เข้าสู่ระยะหมดประจำเดือน นอกจากนี้…ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการป้องกันเบาหวานประเภท 2 จะช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินของเซลล์ ทำให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 2. สารสกัดจากตังกุย
ตังกุย มีชื่อเสียงในเรื่องการบำรุงโลหิตและช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทอง สารสกัดจากตังกุยช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยนี้ เช่น อาการวาบร้อน การนอนไม่หลับ และความไม่สมดุลทางอารมณ์ ที่สำคัญไม่แพ้กัน ตังกุยยังมีคุณสมบัติในการช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของโลหิต ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เพราะการไหลเวียนของโลหิตที่ดีจะช่วยให้อินซูลินไปทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน เช่น ปัญหาการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ
- 3. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย ช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองและระบบไหลเวียนโลหิต สารสำคัญในแปะก๊วยคือ ฟลาโวนอยด์และเทอร์พีนแลคโตน ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และปกป้องเซลล์ประสาทจากการถูกทำลาย ปรับปรุงการทำงานของสมองและความจำ สำหรับวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน การมีแปะก๊วยในผลิตภัณฑ์นี้จึงมีความหมายพิเศษ เพราะช่วยปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆ รวมถึงตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน การไหลเวียนที่ดีจะช่วยให้ตับอ่อนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 4. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ เป็นเมล็ดที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ในการแพทย์แผนจีน งาดำถือเป็นยาบำรุงไต บำรุงกระดูก และช่วยชะลอความแก่ชรา สำหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อเบาหวาน การได้รับแมกนีเซียมจากงาดำเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแมกนีเซียมมีบทบาทในการช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขาดแมกนีเซียมจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเบาหวานประเภท 2
- 5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน ซึ่งให้สีแดงเข้มของผลไม้ชนิดนี้ สารนี้มีคุณสมบัติในการช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน ลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร
- 6. อินูลิน พรีไบโอติก (Inulin Prebiotic) 100 มก.
อินูลิน เป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มพรีไบโอติก ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ การมีอินูลินในผลิตภัณฑ์นี้จึงช่วยส่งเสริมให้แบคทีเรียดีในลำไส้เจริญเติบโตได้ดี ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันโดยรวม ที่น่าสนใจ คือ การวิจัยล่าสุดได้ค้นพบว่าแบคทีเรียในลำไส้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แบคทีเรียดีบางชนิดสามารถผลิตสารที่ช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลินและลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันเบาหวานประเภท 2
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายในวัยทองโดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย แต่ละแคปซูลได้รับการคิดค้นมาอย่างพิถีพิถัน บรรจุสารสกัดธรรมชาติ 7 ชนิด
- 1. สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลี มีสารสำคัญที่เรียกว่า จินเซโนไซด์ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานและลดความเหนื่อยล้า สำหรับวัยทองที่มักประสบปัญหาความอ่อนเพลีย นอกจากนี้…โสมเกาหลียังช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งสำคัญมากในวัยทองที่ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง การมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
- 2. สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก สมุนไพรที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับการป้องกันเบาหวานประเภท 2 ที่เป็นปัญหาใหญ่ในวัยทอง สารสำคัญในฟีนูกรีกช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการดูดซับน้ำตาลจากอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร
- 3. แอล-อาร์จีนีน
แอล-อาร์จีนีน กรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการสร้างไนตริกออกไซด์ในร่างกาย ไนตริกออกไซด์มีหน้าที่สำคัญในการขยายหลอดเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
สำหรับวัยทองที่มักมีปัญหาการไหลเวียนเลือดไม่ดี แอล-อาร์จีนีน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน การมีระบบไหลเวียนเลือดที่ดียังช่วยให้การส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 4. สารสกัดกระชายดำ
กระชายดำเป็นสมุนไพรไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบและเสื่อมสภาพของเซลล์ในวัยทอง นอกจากนี้… กระชายดำยังช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกาย ซึ่งสำคัญสำหรับวัยทองที่ต้องการความแข็งแรงในการดำเนินกิจกรรมประจำวัน รวมถึงการออกกำลังกายที่จำเป็นสำหรับการป้องกันเบาหวาน
- 5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและการสมานแผล ในวัยทองที่มีการดูดซึมสารอาหารลดลงและมีความต้องการซิงค์เพิ่มขึ้น การเสริมซิงค์จึงมีความสำคัญ รวมถึงซิงค์ยังมีบทบาทในการช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการสมานแผล ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานที่มักมีปัญหาแผลหายช้า รูปแบบคีเลทจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมซิงค์ได้ดีกว่าซิงค์ในรูปแบบอื่น
- 6. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ช่วยปรับปรุงความจำและการทำงานของสมอง ซึ่งสำคัญมากในวัยทองที่เริ่มมีปัญหาเรื่องความจำและสมาธิ
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง แปะก๊วยจึงช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหานี้ได้
- 7. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลาย รวมถึงวิตามินอี และแร่ธาตุต่างๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของโรคเรื้อรังหลายชนิดในวัยทอง
งาดำยังช่วยบำรุงระบบประสาทและช่วยให้นอนหลับสบาย การนอนหลับที่มีคุณภาพมีความสำคัญมากต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพโดยรวม
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพในภาพรวม การรวมเอาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพเข้ากับการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่นๆ ในวัยทอง ทำให้เราสามารถมีชีวิตที่แข็งแรง เป็นสุข และมีคุณภาพในวัยทองได้อย่างยั่งยืน
- การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมเบาหวาน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้อินซูลินหรือยาบางชนิด การตรวจวัดจะช่วยให้ทราบว่าการรักษาและการดูแลตนเองมีประสิทธิภาพแค่ไหน สำหรับวัยทองที่เป็นเบาหวานประเภท 2 และไม่ได้ใช้อินซูลิน การตรวจวัดอาจไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน แต่ควรทำในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการรักษา เมื่อไม่สบาย หรือตามที่แพทย์แนะนำ เวลาที่เหมาะสมในการตรวจวัด ได้แก่ ตอนเช้าก่อนอาหาร (ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร) ก่อนและหลังอาหารใหญ่ 2 ชั่วโมง ก่อนนอน และเมื่อมีอาการไม่สบายหรือเครียด
ค่าเป้าหมายสำหรับวัยทองอาจแตกต่างจากคนหนุ่มสาว โดยทั่วไประดับน้ำตาลก่อนอาหารควรอยู่ระหว่าง 90-130 มก./ดล. และหลังอาหาร 2 ชั่วโมงไม่ควรเกิน 180 มก./ดล. แต่แพทย์อาจปรับเป้าหมายให้เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล
การบันทึกผลการตรวจวัดพร้อมกับข้อมูลอื่นๆ เช่น อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย และอาการที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เห็นภาพรวมและปรับปรุงการดูแลได้ดีขึ้น
- การจัดการยาและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
การรับประทานยาตามกำหนดเวลาและขนาดที่แพทย์สั่ง เป็นสิ่งสำคัญมากในการควบคุมเบาหวาน สำหรับวัยทองที่อาจมีโรคประจำตัวหลายโรคและต้องรับประทานยาหลายชนิด การจัดระเบียบยาจึงเป็นสิ่งจำเป็น ใช้กล่องใส่ยารายวันหรือรายสัปดาห์เพื่อแบ่งยาล่วงหน้า ติดฉลากระบุชื่อยา เวลา และขนาดที่ชัดเจน ตั้งนาฬิกาเตือนหรือใช้แอปพลิเคชันในโทรศัพท์เพื่อเตือนเวลารับประทานยา พร้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาแต่ละชนิดที่ได้รับ รู้ว่ายาชนิดไหนทำหน้าที่อะไร? รับประทานเมื่อไหร่? และมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง? ความรู้นี้จะช่วยให้สามารถสังเกตอาการผิดปกติและแจ้งแพทย์ได้ทันที
ที่สำคัญ…อย่าหยุดหรือเปลี่ยนแปลงยาด้วยตนเอง แม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นหรือไม่มีอาการก็ตาม การหยุดยาเบาหวานอย่างกะทันหันอาจทำให้ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอันตราย หากมีปัญหาในการรับประทานยา เช่น ลืมกิน กินผิดเวลา หรือมีอาการข้างเคียง ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที อย่าปล่อยให้ปัญหาสะสมจนกระทั่งรุนแรง
- การออกกำลังกายและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน วัยทองต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มความไวต่ออินซูลิน และปรับปรุงสุขภาพโดยรวม การเดินเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุด เริ่มต้นจากการเดิน 10-15 นาทีหลังอาหาร การเดินหลังอาหารจะช่วยลดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหาร ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาและความเร็วตามความสามารถ การยืดเหยียดและการออกกำลังกายเพื่อความยืดหยุ่นจะช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และป้องกันการบาดเจ็บ ทำการยืดเหยียดก่อนและหลังการออกกำลังกายหลัก
โดยกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็สามารถเป็นการออกกำลังกายได้ เช่น การทำงานบ้าน การทำสวน การเล่นกับหลาน หรือการช็อปปิ้ง สิ่งสำคัญคือการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน และอย่าลืมระวังอาการน้ำตาลในเลือดต่ำขณะออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อินซูลินหรือยาบางชนิด ควรมีของหวานติดตัวไว้เสมอ เช่น น้ำตาลก้อน ลูกอม หรือน้ำผลไม้ และรู้จักอาการเตือนของภาวะน้ำตาลต่ำ
- การดูแลเท้าและผิวหนัง
ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาเท้าและการติดเชื้อ เพราะระดับน้ำตาลที่สูงจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและระบบประสาท การดูแลเท้าจึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลตนเอง
- ตรวจดูเท้าทุกวัน โดยดูการบวม รอยแดง แผล หรือการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ หากมีปัญหาการมองเห็น ให้ญาติหรือผู้ดูแลช่วยตรวจดู หรือใช้กระจกส่องดูใต้ฝ่าเท้า
- ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นและสบู่อ่อนๆ ทุกวัน เช็ดให้แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า ทาครีมบำรุงเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก แต่หลีกเลี่ยงบริเวณซอกนิ้วเท้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อรา
- การตัดเล็บเท้าควรตัดตรง ไม่ตัดโค้งตามรูปเล็บ เพื่อป้องกันเล็บงอก ใช้ตะไบเล็บเรียบขอบเล็บให้เรียบ หลีกเลี่ยงการใช้กรรไกรคมหรือใบมีดโกน
- เลือกรองเท้าที่เหมาะสม รองเท้าควรมีขนาดพอดี ไม่แน่นเกินไป มีส้นเตี้ย และมีพื้นนุ่ม หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า แม้แต่ในบ้าน ควรสวมรองเท้าแตะหรือรองเท้าใส่ในบ้านเสมอ
หากมีแผลหรือรอยผิดปกติที่เท้า ให้รีบพบแพทย์ทันที อย่ารอให้แผลรุนแรงขึ้น เพราะในผู้ป่วยเบาหวาน แผลเล็กๆ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
- การจัดการความเครียดและสุขภาพจิต
ความเครียดจากการป่วยเป็นโรคเรื้อรัง การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และความกังวลเกี่ยวกับอนาคต เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานวัยทองต้องเผชิญ การจัดการความเครียดจึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลตนเอง
- สร้างกิจวัตรประจำวันที่มีความหมายและให้ความสุข เช่น การอ่านหนังสือ การฟังเพลง การทำสวน การทำอาหาร หรือการใช้เวลากับครอบครัว กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเครียดและสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
- เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการฟังเพลงเบาๆ จะช่วยลดความตึงเครียดและควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น
หากมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวลมาก หรือรู้สึกท้อแท้กับการดูแลตนเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยา การได้รับการช่วยเหลือทางด้านจิตใจจะช่วยปรับปรุงการควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น
…ภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยและครอบครัวต้องให้ความสำคัญ
โดยเฉพาะในวัยทองที่มีความเสี่ยงสูงกว่าวัยอื่นๆ การเข้าใจและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจะช่วยให้สามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีได้…
- ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดส่วนปลายสูงกว่าคนปกติ 2 – 4 เท่า ในวัยทองที่เป็นเบาหวาน ระบบหัวใจและหลอดเลือดอ่อนแอลงตามธรรมชาติ การมีเบาหวานจะเร่งกระบวนการเสื่อมสภาพนี้ให้เร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงที่มักมาพร้อมกับเบาหวานจะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก
อาการเตือนที่ควรระวัง ได้แก่ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติ บวมที่ขาและเท้า เจ็บปวดขาขณะเดิน และชาหรือเย็นที่มือและเท้า หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้: ต้องควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การไม่สูบบุหรี่ และการรับประทานยาตามแพทย์สั่งเป็นสิ่งสำคัญ
- ภาวะแทรกซ้อนทางไต
เบาหวาน เป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตเรื้อรังและไตวาย 07:02/68 การทำงานของไตจะลดลงเมื่อระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะแรกของโรคไตจากเบาหวาน อาจไม่มีอาการชัดเจน เมื่อโรคดำเนินไป อาการที่อาจพบได้แก่ บวมที่หน้า มือ เท้า ปัสสาวะมีฟอง เหนื่อยง่าย เบื่อน้ำเบื่ออาหาร และคลื่นไส้
การตรวจคัดกรองโรคไตในผู้ป่วยเบาหวานควรทำเป็นประจำทุกปี โดยการตรวจปัสสาวะหาโปรตีน การตรวจระดับครีอะตินินในเลือด และการคำนวณอัตราการกรองของไต
การป้องกันโรคไตจากเบาหวาน: ต้องควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิตให้ดี หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่อาจเป็นพิษต่อไต และดื่มน้ำให้เพียงพอแต่ไม่มากเกินไป
- ภาวะแทรกซ้อนทางตา
เบาหวานเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดในผู้ใหญ่ ภาวะแทรกซ้อนทางตาจากเบาหวานที่สำคัญ ได้แก่ จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน ต้อหิน และต้อเขียว จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวานเกิดจากการที่หลอดเลือดเล็กในจอประสาทตาเสียหาย ในระยะแรกอาจไม่มีอาการ แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาจมีอาการมองเห็นไม่ชัดเจน มองเห็นเป็นจุดดำ หรือเสียการมองเห็นทันทีทันใด
สำหรับวัยทองที่เป็นเบาหวาน การตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้งเป็นสิ่งจำเป็น หากมีปัญหาการมองเห็นแล้ว อาจต้องตรวจบ่อยขึ้น
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา: การควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี ควบคุมความดันโลหิต หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการตรวจตาเป็นประจำเพื่อให้ได้รับการรักษาตั้งแต่เนื่อนๆ
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
ระบบประสาท เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานาน ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทจากเบาหวานแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยที่พบบ่อยที่สุดคือโรคประสาทส่วนปลาย อาการของโรคประสาทส่วนปลายมักเริ่มที่ปลายมือและปลายเท้า ได้แก่ ชา เสียวซ่า เหมือนมีเข็มหรือแปรงแทง ปวดแสบร้อน และสูญเสียความรู้สึก อาการมักรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน การสูญเสียความรู้สึกที่เท้าเป็นสิ่งอันตราย เพราะจะทำให้ไม่รู้สึกเมื่อมีการบาดเจ็บ แผล หรือการติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
นอกจากระบบประสาทส่วนปลายแล้ว เบาหวานยังอาจส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดปัญหาการย่อยอาหาร การควบคุมความดันโลหิต และการตอบสนองต่อภาวะน้ำตาลต่ำ
- ปัญหาการติดเชื้อและการหายช้า
ผู้ป่วยเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อและแผลหายช้า เพราะระดับน้ำตาลที่สูงจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและการไหลเวียนของเลือด การติดเชื้อที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อที่ผิวหนัง การติดเชื้อรา และการติดเชื้อที่ช่องปาก การติดเชื้อเหล่านี้มักรุนแรงกว่าปกติและหายยาก
สำหรับวัยทองที่เป็นเบาหวาน การป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ รักษาความสะอาดของร่างกาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแหล่งเชื้อโรค และรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการติดเชื้อ
- การป้องกันและการจัดการภาวะแทรกซ้อน
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานในวัยทองต้องเป็นการดูแลแบบรอบด้าน การควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ การตรวจสุขภาพเป็นประจำตามกำหนดของแพทย์จะช่วยให้ค้นพบภาวะแทรกซ้อนตั้งแต่เนื่อนๆ เมื่อยังรักษาได้ดี การตรวจที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจตา การตรวจไต การตรวจเท้า และการประเมินระบบหัวใจและหลอดเลือด
การใช้ยาป้องกันภาวะแทรกซ้อนตามที่แพทย์แนะนำ เช่น ยาควบคุมความดันโลหิต ยาลดไขมัน และยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก
สรุป
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างเบาหวานประเภท 1 และประเภท 2 เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการดูแลสุขภาพในวัยทอง แม้ว่าเบาหวานประเภท 1 จะไม่สามารถป้องกันได้ แต่เบาหวานประเภท 2 ซึ่งพบบ่อยในวัยทอง สามารถป้องกันและควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การป้องกันเบาหวานในวัยทองไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มต้นจากการควบคุมน้ำหนัก การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันเบาหวาน แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมอีกด้วย
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแล้ว การดูแลตนเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง การทำงานร่วมกับทีมแพทย์ การปฏิบัติตามคำแนะนำ และการมีความรู้ที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญของการรักษาที่ประสบผลสำเร็จ
และหากคุณผู้อ่านท่านใดนึกถึงเรื่องสุขภาพ… เราก็อยากให้คุณนึกถึงดีเน่ DNAe
“ตัวช่วยเรื่องสุขภาพของวัยทอง”