“ตาแห้ง” ภัยเงียบของวัยทอง

“ตาของฉันแห้งและระคายเคืองมาก บางครั้งรู้สึกเหมือนมีทรายอยู่ในตา”

นี่ คือ คำบ่นที่มักได้ยินจากผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง หลายคนอาจไม่ทราบว่าอาการ “ตาแห้ง” ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นหนึ่งในผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย  และอาจกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาวได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง 

เมื่อพูดถึงวัยหมดประจำเดือน เรามักนึกถึงอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน หรือความผันผวนทางอารมณ์ แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า “ภาวะตาแห้ง” เป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทองเช่นกัน ความเชื่อมโยงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายได้อย่างชัดเจนแพทย์หญิงจินตนา สาธุธรรม จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาแห้ง อธิบายว่า…

“ในดวงตาของเรามีตำแหน่งของตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen receptors)
อยู่หลายจุด ทั้งที่กระจกตา เยื่อบุตา และต่อมน้ำตา
เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลงอย่างมากในช่วงวัยหมดประจำเดือน อวัยวะเหล่านี้จึงได้รับผลกระทบโดยตรง ทำให้การผลิตและคุณภาพของน้ำตาเปลี่ยนแปลงไป
ส่งผลให้เกิดภาวะตาแห้งที่อาจรุนแรงกว่าการเกิดตาแห้งจากสาเหตุอื่นๆ”

ภาวะทางการแพทย์เรียกว่า “โรคตาแห้ง” (Dry Eye Disease หรือ DED) จากสถิติพบว่าผู้หญิงวัยทองมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตาแห้งสูงกว่าวัยอื่นถึง 2 – 3 เท่า และมากกว่าผู้ชายในวัยเดียวกันประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและไม่ควรมองข้าม 

นอกจากนี้…การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทองยังส่งผลให้เยื่อเมือกต่างๆ ในร่างกายบางลงและแห้งลง ไม่เฉพาะที่ดวงตา แต่รวมไปถึงช่องปาก และช่องคลอดแห้ง 08:04/68 นหลายๆ ส่วนของร่างกายที่ผู้หญิงวัยทองมักเผชิญพร้อมๆ กัน ที่น่าสนใจ คือ จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบรุนแรงในช่วงวัยหมดประจำเดือน 06:10/67 มักมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะตาแห้งรุนแรงร่วมด้วย แสดงให้เห็นว่าระดับความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอาจส่งผลต่อความรุนแรงของอาการตาแห้งได้เช่นกัน 

สาเหตุของ “ภาวะตาแห้ง” ในวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะเป็นสาเหตุหลักของภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของภาวะนี้อีกมากมาย การทำความเข้าใจถึงสาเหตุทั้งหมดจะช่วยให้สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างครอบคลุม

ดังที่กล่าวไปแล้ว…การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นสาเหตุหลักของภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง โดยมีกลไกที่สำคัญดังนี้

  1. การลดลงของตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen receptors)
    ตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของดวงตา เช่น เยื่อบุตา กระจกตา ต่อมน้ำตา และต่อมเมบิโบเมียน เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลงในวัยทอง การทำงานของเนื้อเยื่อเหล่านี้จึงเปลี่ยนแปลงไป
  2. ความไม่สมดุลระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจนและแอนโดรเจน
    ในช่วงวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ไม่เพียงแต่เอสโตรเจนที่ลดลง แต่สัดส่วนระหว่างเอสโตรเจนและแอนโดรเจนก็เปลี่ยนไปด้วย ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า “ภาวะแอนโดรเจนเด่น” (Androgen dominance) ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมันต่างๆ รวมถึงต่อมเมบิโบเมียน
  3. การเปลี่ยนแปลงแบบทันที vs แบบค่อยเป็นค่อยไป
    ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแบบทันทีจากการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ (Surgical menopause) มักมีอาการตาแห้งรุนแรงกว่าผู้หญิงที่หมดประจำเดือนตามธรรมชาติ เนื่องจากร่างกายไม่มีเวลาปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสและความรุนแรงของภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง ด้วยเช่นกัน คือ…

1. ปัจจัยด้านอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตาแห้งก็ยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจาก

  • การผลิตน้ำตาลดลงตามธรรมชาติของอายุที่เพิ่มขึ้น
  • โครงสร้างของเปลือกตาเปลี่ยนแปลง ทำให้การกะพริบตาไม่สมบูรณ์
  • ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อรอบดวงตาลดลง

2. การใช้ยาบางชนิด ยาหลายชนิดที่ผู้หญิงวัยทองมักได้รับเพื่อรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงของการเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง NCDs 13:03/68 ก็ยิ่งมากขึ้น สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตาแห้งได้ เช่น

  • ยาลดความดันโลหิต
  • ยาขับปัสสาวะ
  • ยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูก
  • ยานอนหลับและยาคลายกังวล
  • ยารักษาโรคซึมเศร้า
  • ยาฮอร์โมนทดแทนบางชนิด (โดยเฉพาะแบบที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในปริมาณต่ำ)

3. โรคประจำตัวที่พบบ่อยในวัยทอง ผู้หญิงวัยทองมักมีโรคประจำตัวบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตาแห้ง เช่น…

  • โรคเบาหวาน มีผลต่อระบบประสาทและหลอดเลือดที่มาเลี้ยงดวงตา
  • โรคไทรอยด์ โดยเฉพาะภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
  • โรคภูมิแพ้และโรคภูมิต้านทานตัวเอง เช่น Sjögren’s syndrome, Rheumatoid arthritis
  • โรคความดันโลหิตสูง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดที่มาเลี้ยงต่อมน้ำตา

4. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมบางอย่างที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทอง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตาแห้ง เช่น…

  • การใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน
  • การอยู่ในที่ที่มีเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา
  • การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองหรือมลพิษสูง
  • การใช้เครื่องสำอางรอบดวงตาที่อาจระคายเคืองต่อมเมบิโบเมียน
  • การสวมคอนแทคเลนส์เป็นประจำ
  • พฤติกรรมการกะพริบตาที่ลดลงเมื่อใช้สายตามาก

5. การผ่าตัดตา

ผู้หญิงวัยทองหลายคนอาจเพิ่งผ่านการผ่าตัดตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตา เช่น การผ่าตัดต้อกระจก หรือการผ่าตัด LASIK ซึ่งการผ่าตัดเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตาแห้งเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้

6. ภาวะทางจิตใจ

ภาวะเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทอง สามารถส่งผลต่อการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของต่อมน้ำตา รวมถึงระบบการผลิตน้ำตาด้วยและอาจทำให้ภาวะตาแห้งรุนแรงขึ้นได้

การเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง จะช่วยให้สามารถดูแลและป้องกันได้อย่างตรงจุด ในหัวข้อถัดไปเราจะมาเช็กและดูกันว่าอาการและสัญญาณเตือนของภาวะตาแห้งในวัยทองมีอะไรบ้าง เพื่อให้สามารถสังเกตและขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

อาการและสัญญาณเตือนของภาวะตาแห้งในวัยทอง

ภาวะตาแห้ง ในวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง อาจเริ่มต้นด้วยอาการเพียงเล็กน้อยที่หลายคนมักมองข้าม แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับการรักษาทันท่วงที

อาการเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม

  1. รู้สึกแสบตา คัน หรือระคายเคือง
    อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณแรกของภาวะตาแห้ง โดยหลายคนอธิบายความรู้สึกว่าเหมือนมี “ทราย” หรือ “สิ่งแปลกปลอม” อยู่ในตา แม้จะไม่มีสิ่งใดเข้าตาจริงๆ
  2. ตาแดง
    เยื่อบุตาอาจมีการอักเสบเล็กน้อยเนื่องจากความแห้งและการขาดการหล่อลื่น ทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัวและมองเห็นชัดเจนขึ้น
  3. น้ำตาไหลมากผิดปกติ
    แม้จะดูเหมือนขัดแย้งกับภาวะ “ตาแห้ง” แต่การที่น้ำตาไหลมากผิดปกติเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่พยายามชดเชยภาวะแห้ง โดยต่อมน้ำตาจะผลิตน้ำตาแบบฉับพลัน (Reflex tearing) ซึ่งมักมีคุณภาพไม่ดีและระเหยเร็ว
  4. ความไวต่อแสงเพิ่มขึ้น (แสงจ้า)
    ผู้หญิงวัยทองที่มีภาวะตาแห้งอาจรู้สึกไวต่อแสงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือแสงไฟในที่ทำงาน
  5. ความล้าของสายตาเร็วกว่าปกติ
    การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้รู้สึกเมื่อยล้าตามากกว่าเดิม
  6. การมองเห็นพร่ามัวเป็นพักๆ
    น้ำตาที่ไม่สม่ำเสมอบนผิวกระจกตาทำให้แสงหักเหไม่คงที่ ส่งผลให้การมองเห็นพร่ามัวชั่วคราว โดยเฉพาะเมื่อต้องจ้องมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน เช่น การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์
  7. รู้สึกไม่สบายตาเมื่อใส่คอนแทคเลนส์
    วัยทอง หรือผู้ที่เคยใส่คอนแทคเลนส์ได้สบาย อาจเริ่มรู้สึกระคายเคืองหรือทนไม่ได้เมื่อใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน

เคยมีเคสตัวอย่างจากวัยทองเล่าประสบการณ์ของภาวะตาแห้งว่า…

“ตอนแรกฉันคิดว่าตาแห้งเป็นเรื่องธรรมดาของคนอายุมาก แค่หยอดน้ำตาเทียมก็น่าจะพอ
แต่พอปล่อยไว้นานเข้า…อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วลืมตาไม่ได้เลย
เพราะเปลือกตาติดกับลูกตา เจ็บมากจนต้องใช้น้ำค่อยๆ ชะให้เปลือกตาเปิดนั่น
เป็นตอนที่ฉันรู้ว่าปัญหานี้จริงจังกว่าที่คิด”

อาการที่รุนแรงขึ้นเมื่อไม่ได้รับการรักษา

หาก ภาวะตาแห้ง ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาการจะค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น และอาจแสดงออกด้วยอาการต่อไปนี้

  1. ความเจ็บปวดที่ดวงตา
    จากการระคายเคืองเล็กน้อย อาจพัฒนาเป็นความเจ็บปวดที่ชัดเจน วัยทองบางรายอาจรู้สึกแสบร้อนหรือเจ็บตาตลอดเวลา
  2. น้ำตาไม่มีเลย
    ในระยะรุนแรง ต่อมน้ำตาอาจเสื่อมสภาพจนไม่สามารถผลิตน้ำตาได้เพียงพอ แม้แต่เมื่อมีสิ่งระคายเคืองหรือทางอารมณ์
  3. ตาแดงอย่างต่อเนื่อง
    เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรังทำให้ตาแดงตลอดเวลา ไม่ว่าจะพักผ่อนเพียงใดก็ตาม
  4. มีเมือกเหนียวในตา
    การผลิตเมือกที่มากเกินไปเพื่อชดเชยความแห้ง ทำให้มีขี้ตาเหนียวโดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน วัยทองสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
  5. เปลือกตาหนักและปิดไม่สนิท
    ในวัยทองบางรายอาจมีอาการเปลือกตาหนักและในกรณีรุนแรงอาจนอนหลับตาไม่สนิท ซึ่งยิ่งทำให้อาการตาแห้งเลวร้ายลง
  6. การมองเห็นแย่ลงอย่างต่อเนื่อง
    ความพร่ามัวที่เคยเป็นเพียงชั่วคราวของวัยทองบางราย อาจกลายเป็นปัญหาถาวร ส่งผลให้การมองเห็นแย่ลงแม้ในเวลาปกติ
  7. มีแผลที่กระจกตา
    ในกรณีรุนแรงที่สุด วามแห้งอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตา ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางจักษุที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วน
  8. กลัวแสงอย่างรุนแรง
    ความไวต่อแสง อาจพัฒนาเป็นอาการกลัวแสงอย่างรุนแรง จนไม่สามารถอยู่ในที่มีแสงสว่างปกติได้โดยไม่สวมแว่นกันแดด

การสังเกตอาการเหล่านี้ของคุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองตั้งแต่เริ่มต้น และปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันไม่ให้ภาวะตาแห้งพัฒนาไปสู่ระดับรุนแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้

แล้วถ้าเกิดไม่ได้รับการรักษานอกจากจะมีอาการดังข้างต้นที่กล่าวไปแล้ว ยังอาจเพิ่มอาการแทรกซ้อนอันตรายเพิ่มเติมได้อีกด้วย…

ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการบาดเจ็บที่กระจกตา

  1. แผลที่กระจกตา (Corneal ulcer)
    จากความแห้งของผิวกระจกตาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์ผิวกระจกตาตาย เกิดเป็นแผลที่อาจลุกลามลึกลงไปในชั้นกระจกตาได้ หากรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรที่กระจกตาของวัยทองได้
  2. การติดเชื้อที่กระจกตา
    แผลที่เกิดขึ้นบนกระจกตาเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระจกตาของวัยทองได้ง่าย นำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ในกรณีที่รุนแรง
  3. เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง (Chronic conjunctivitis)
    ภาวะตาแห้งที่ไม่ได้รับการรักษาทำให้เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง เกิดความเจ็บปวด ตาแดง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุตาอย่างถาวร
  4. หนังตาอักเสบ (Blepharitis)
    การอักเสบของขอบเปลือกตา ซึ่งมักพบร่วมกับภาวะตาแห้ง ทำให้มีอาการคัน แสบ มีขุยที่ขอบตา และในกรณีรุนแรงอาจทำให้ขนตาร่วงหรืองอกผิดทิศทางได้
  5. ต้อเนื้อ (Pterygium)
    ความแห้งและการระคายเคืองอย่างต่อเนื่องอาจกระตุ้นให้เกิดต้อเนื้อ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่งอกออกมาจากเยื่อบุตาและอาจลุกลามเข้าไปในกระจกตา ในกรณีที่รุนแรงอาจบดบังการมองเห็น
  6. การสูญเสียการมองเห็น
    ในกรณีที่รุนแรงที่สุดและไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จากตาแห้งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมดได้
  7. ภาวะคลอคักเสบ (Dacryocystitis)
    การอักเสบของถุงน้ำตาที่อาจเป็นผลแทรกซ้อนจากระบบการระบายน้ำตาที่ผิดปกติในผู้ที่มีภาวะตาแห้ง ทำให้มีอาการปวด บวม แดงบริเวณหัวตา และอาจมีหนองไหลออกมาจากรูเปิดของท่อน้ำตา

นอกจากนี้…วัยทองผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรงยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดตา เช่น การผ่าตัดต้อกระจก หรือการผ่าตัดเลสิกเพื่อแก้ไขสายตา ซึ่งอาจส่งผลให้การฟื้นตัวช้าและผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร 

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจฟังดูน่ากลัว แต่ข่าวดี คือ ส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการตระหนักรู้ถึงอาการเริ่มต้นของภาวะตาแห้งและการรับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ลองมาดูแนวทางการรักษากัน

การรักษาภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง

การรักษาภาวะตาแห้งในผู้หญิงวัยทอง มีความซับซ้อนและจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาแบบองค์รวม เนื่องจากสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แนวทางการรักษาจึงมีหลายแนวทางที่อาจใช้ร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้

“น้ำตาเทียม” ทางเลือกแรกในการบรรเทาอาการ

น้ำตาเทียม เป็นวิธีการรักษาพื้นฐานที่แพทย์มักแนะนำเป็นอันดับแรกสำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้ง โดยน้ำตาเทียมมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของอาการ

1. น้ำตาเทียมชนิดน้ำ (สารละลาย)

  • เหมาะกับวัยทองหรือผู้ที่มีอาการตาแห้งระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ให้ความชุ่มชื้นระยะสั้น จึงต้องหยอดบ่อย (ทุก 2 – 4 ชั่วโมง)
  • มีทั้งแบบที่มีสารกันเสียและไม่มีสารกันเสีย (แบบไม่มีสารกันเสียเหมาะกับผู้ที่ใช้บ่อยหรือมีอาการแพ้)
  • ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง แต่ข้อเสีย คือ ต้องหยอดบ่อย

2. น้ำตาเทียมชนิดเจลหรือครีม

  • เหมาะกับวัยทองผู้ที่มีอาการตาแห้งปานกลางถึงรุนแรง
  • มีความหนืดสูงกว่า อยู่ในตาได้นานกว่า (4 – 6 ชั่วโมง)
  • ข้อเสียคืออาจทำให้การมองเห็นพร่ามัวชั่วคราว จึงนิยมใช้ก่อนนอน

3. น้ำตาเทียมชนิดที่มีส่วนผสมของน้ำมัน

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาที่ชั้นไขมันของน้ำตา ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงวัยทอง
  • ช่วยเสริมชั้นไขมันและลดการระเหยของน้ำตา
  • มีราคาสูงกว่าชนิดธรรมดา แต่ให้ผลการรักษาที่ตรงจุดมากกว่า

การรักษาด้วยยาและหัตถการทางการแพทย์

นอกจากน้ำตาเทียม ยังมีการรักษาอื่นๆ ที่จักษุแพทย์อาจพิจารณาตามความเหมาะสม เช่น

1. การอุดท่อระบายน้ำตา (Punctal Plugs)

  • เป็นวิธีการชะลอการระบายน้ำตาออกจากตา ทำให้น้ำตาที่มีอยู่คงอยู่ในตาได้นานขึ้น
  • เหมาะกับผู้ที่มีการผลิตน้ำตาน้อย (ชนิด Aqueous-deficient dry eye)
  • มีทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวร ในระยะแรกมักใช้แบบชั่วคราวเพื่อประเมินผล

2. ยากลุ่มลดการอักเสบ

  • ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ Cyclosporine หรือ Lifitegrast ช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการผลิตน้ำตา
  • เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบร่วมด้วยและไม่ตอบสนองดีต่อน้ำตาเทียมเพียงอย่างเดียว
  • ต้องใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือนจึงจะเห็นผล

3. การรักษาด้วยความร้อนและการนวด (Warm Compress and Lid Massage)

  • ช่วยละลายไขมันที่อุดตันในต่อมเมบิโบเมียน
  • ทำโดยประคบอุ่นที่เปลือกตา 5 – 10 นาที ตามด้วยการนวดเบาๆ
  • แนะนำให้ทำวันละ 1 – 2 ครั้ง เป็นประจำ

4. การรักษาด้วยแสง IPL (Intense Pulsed Light)

  • เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมเมบิโบเมียน
  • ช่วยลดการอักเสบและเพิ่มคุณภาพของชั้นไขมันในน้ำตา
  • มักต้องทำ 3-4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์

นอกจากการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ตามที่มีการนำเสนอให้ได้ฟังกันแล้ว ในบางรายคุณหมอก็อาจแนะนำวิธีการรักษาภาวะตาแห้งด้วยฮอร์โมนทดแทน เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนนั้นเองการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งระดับความรุนแรงของอาการ สาเหตุเฉพาะของแต่ละบุคคล โรคประจำตัว และความชอบส่วนบุคคล ที่สำคัญคือควรปรึกษาทั้งจักษุแพทย์และสูตินรีแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาแบบองค์รวมที่เหมาะสมที่สุด

นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการตาแห้งสำหรับผู้หญิงวัยทอง ด้วยการดูแลอย่างเหมาะสม จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของการรักษาและป้องกันการกำเริบของอาการได้

การดูแลสภาพแวดล้อม

สภาพแวดล้อม มีผลอย่างมากต่อการระเหยของน้ำตาและความรุนแรงของอาการตาแห้ง การปรับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. รักษาความชื้นในอากาศ

แนะนำให้วัยทองใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในที่ทำงานและห้องนอน โดยเฉพาะในห้องที่มีการปรับอากาศ โดยควรรักษาระดับความชื้นสัมพัทธ์ไว้ที่ 40 – 50% แต่ถ้าท่านใดไม่มีเครื่องเพิ่มความชื้น อาจวางถ้วยน้ำไว้ใกล้เครื่องปรับอากาศ หรือตากผ้าเปียกในห้องก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

2. หลีกเลี่ยงลมเป่าตรง

เมื่อเจอลม นั่งหน้าพัดลม หรือเป่าผม แนะนำให้ปรับทิศทางลมจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศไม่ให้เป่าที่ใบหน้าโดยตรง โดยในรถยนต์ก็เช่นกัน ควรปรับช่องลมไม่ให้เป่าที่ตา พร้อมกับแนะนำให้วัยทองสวมแว่นกันลมเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งในวันที่มีลมแรง

3. ลดมลพิษและสารระคายเคือง

หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันธูป หรือสารเคมีที่ระเหยง่าย เพราะเมื่อสัมผัสหรืออยู่ในจุดนั้นอาจทำให้ตาระคายเคืองได้ง่าย  เมื่ออยู่ในบ้านก็ควรทำความสะอาดฝุ่นในบ้านอย่างสม่ำเสมอ และยิ่งภาวะอากาศในปัจจุบันที่มี PM 2.5 เยอะแยะมากมาย 06:02/68 เราก็อยากแนะนำให้พิจารณาใช้เครื่องฟอกอากาศในห้องที่ใช้เวลาอยู่นาน

การปรับพฤติกรรมการใช้สายตา

ในโลกปัจจุบันที่วิถีชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องจ้องหน้าจออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า? ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการตาแห้งรุนแรงในผู้หญิงวัยทอง การปรับพฤติกรรมการใช้สายตาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ลองมาดูวิธีแนะนำผสานไปกับการดูแลดวงตากัน

1. ใช้กฎ 20 – 20 – 20

ทุกๆ 20 นาทีที่ใช้สายตาจ้องมองใกล้ ให้มองไกลอย่างน้อย 20 ฟุต (6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที การทำเช่นนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้พัก และกระตุ้นการกะพริบตา โดยแนะนำให้ตั้งนาฬิกาเตือนหรือใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือนเพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอ การมองไกลไม่เพียงช่วยให้ตาได้พัก แต่ยังกระตุ้นการผลิตน้ำตาด้วย

2. ฝึกกะพริบตาบ่อยๆ

คนปกติกะพริบตาประมาณ 15 – 20 ครั้งต่อนาที แต่เมื่อจ้องหน้าจออาจลดลงเหลือ 5 – 7 ครั้งต่อนาที การฝึกกะพริบตาอย่างสมบูรณ์ (กะพริบช้าๆ และปิดตาสนิท) ทุก 5 – 10 นาที จะช่วยให้คุณสบายตามากขึ้น โดยอาจติดโน้ตเตือนไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

3. ปรับตำแหน่งและการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

หลายคนที่นั่งจ้อมคอมเป็นเวลานานอาจจะติดนิสับจอคอมอยู่ใกล้กับหน้ามากกเกินไป เพราะฉะนั้นแนะนำให้วัยทองตั้งจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย (ประมาณ 10 – 20 องศา) เพื่อให้เปลือกตาปิดบางส่วน ระยะห่างจากจอควรอยู่ที่ประมาณ 50 – 70 เซนติเมตร ปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับแสงในห้อง และลดแสงสีฟ้า (Blue light) หรือสวมใส่แว่นตาลดแสงสีฟ้าก็เป็นแนวทางที่ดีไม่น้อย

4. การใช้แว่นที่เหมาะสม

แนะนำให้วัยทองตรวจวัดสายตาอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้ง และหากท่านใดที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ หรือแลปท็อปเป็นประจำอาจพิจารณาใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหากต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน สำหรับผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ ควรพิจารณาลดเวลาการใส่ลง หรือเปลี่ยนมาใช้แว่นตาเป็นครั้งคราว

โภชนาการสำหรับดวงตาที่แข็งแรง

นอกจากการดูแลสุขภาพดวงตาด้วยการหลีกเลี่ยงและป้องกันสิ่งต่างๆ จากปัจจัยภายนอกแล้ว อาหารที่เรารับประทานแต่ละชนิด ก็มีผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา การปรับเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสมจะช่วยบำรุงต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาและลดการอักเสบได้

1. เพิ่มการบริโภคโอเมก้า – 3

ผู้หญิงวัยทองควรรับประทานปลาทะเลอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลาคุณภาพดี จะช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำตาได้ภายใน 1 – 3 เดือน เลยทีเดียว

  • โอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงคุณภาพของชั้นไขมันในน้ำตา
  • แหล่งอาหารที่ดี ได้แก่ ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน
  • แหล่งจากพืช เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท

2. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ

วิตามินเอมีความสำคัญต่อสุขภาพเยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเยื่อบุตา

  • แหล่งอาหารที่ดี ได้แก่ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียวเข้ม แครอท ฟักทอง มันเทศสีส้ม

3. เพิ่มอาหารที่มีวิตามินซีและอี

วิตามินเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆ ในดวงตา

  • แหล่งวิตามินซีที่ดี ผลไม้ตระกูลส้ม กีวี พริกหวาน มะละกอ
  • แหล่งวิตามินอีที่ดี ถั่ว เมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก อะโวคาโด

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ดีสำหรับวัยทอง 05:03/68 ช่วยรักษาความชุ่มชื้นทั่วร่างกาย รวมถึงดวงตา ผู้หญิงวัยทองควรเพิ่มการดื่มน้ำเป็นพิเศษเนื่องจากร่างกายมีแนวโน้มที่จะสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าวัยอื่น
  • ลดการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำและเพิ่มความรุนแรงของอาการตาแห้ง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อบรรเทาอาการตาแห้งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและการทำเป็นกิจวัตรประจำวัน การผสมผสานทั้งการดูแลสภาพแวดล้อม การปรับพฤติกรรมการใช้สายตา และการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตา จะช่วยให้ผู้หญิงวัยทองสามารถควบคุมและบรรเทาอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาสำคัญนี้

สมุนไพรและการแพทย์ทางเลือกสำหรับการรักษาตาแห้ง

นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน และการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์แล้วที่เราแนะนำไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว การแพทย์ทางเลือกและสมุนไพรบางชนิด อาจมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการตาแห้งในผู้หญิงวัยทองได้ 

ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ เพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เริ่มต้นกันที่ตัวแรกกับ…

น้ำมันปลาและโอเมก้า-3

น้ำมันปลาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีโอเมก้า-3 เป็นทางเลือกที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นในวงการแพทย์สำหรับการรักษาภาวะตาแห้ง โดยมีงานวิจัยทางคลินิกสนับสนุนประสิทธิภาพดังนี้

  • ขนาดที่แนะนำ การรับประทานโอเมก้า-3 ขนาด 1,000 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ชนิด EPA และ DHA รวมกัน ช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงคุณภาพชั้นไขมันในน้ำตา
  • กลไกการออกฤทธิ์ โอเมก้า-3 มีคุณสมบัติต้านการอักเสบโดยลดการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น prostaglandins และ leukotrienes และยังช่วยปรับปรุงการทำงานของต่อมเมบิโบเมียนซึ่งผลิตชั้นไขมันในน้ำตา
  • ระยะเวลาในการเห็นผล ผู้หญิงวัยทองที่รับประทานโอเมก้า-3 อย่างสม่ำเสมอมักเริ่มเห็นผลหลังจาก 4 – 12 สัปดาห์ โดยอาการตาแห้งจะค่อยๆ ดีขึ้น

การศึกษาในประเทศไทยโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าผู้หญิงวัยทองที่รับประทานโอเมก้า-3 ขนาด 1,200 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน มีคะแนนอาการตาแห้งลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

สมุนไพรไทยที่ช่วยบำรุงสายตา

ในตำรับยาแผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการบำรุงสายตาและอาจช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ เช่น

  • บัวบก มีสารสำคัญคือ asiaticoside และ madecassoside ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อเยื่อบุตาที่เสื่อมสภาพ
  • ขมิ้นชัน สารเคอร์คูมินในขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุตาและต่อมน้ำตา
  • ฟ้าทะลายโจร มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้เป็นยาสมุนไพรสำหรับลดการอักเสบของร่างกายโดยรวม รวมถึงอาการอักเสบที่ตา
  • มะขามป้อม อุดมด้วยวิตามินซีสูงและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อตาและการสร้างคอลลาเจน

และอีกหนึ่งตัวที่ขาดไม่ได้เลยเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือ…

“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับวัยทอง ช่วยบรรเทาภาวะตาแห้งและอาการวัยทองอื่นๆ เมื่อเกิดภาวะขาดเอสโตรเจน ทำให้การทำงานของต่อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำตาเสื่อมลง ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคือง รู้สึกเหมือนมีทรายอยู่ในตา และอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะของผู้หญิงวัยทอง ด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่มีคุณสมบัติเด่นในการบำรุงสุขภาพโดยรวมและช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวัยทอง รวมถึงภาวะตาแห้ง ได้แก่…

1. สารสกัดจากถั่วเหลือง
อุดมด้วยไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยเสริมการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ต่อมน้ำตาและต่อมเมบิโบเมียนที่ผลิตชั้นไขมันในน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ถั่วเหลืองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบของดวงตาซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในภาวะตาแห้ง และยังมีส่วนสำคัญในการลดอาการร้อนวูบวาบได้อีกด้วย

2. สารสกัดจากตังกุย

ตังกุย หรือ โสมผู้หญิง เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมน ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ และส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ซึ่งช่วยให้การหล่อเลี้ยงต่อมน้ำตาและเนื้อเยื่อรอบดวงตาทำงานได้ดีขึ้น ดีต่อวัยทองมากๆ

3. สารสกัดจากแปะก๊วย

แปะก๊วย มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์ในดวงตาจากความเสียหาย และยังช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตาและสมอง การศึกษาหลายชิ้นพบว่าแปะก๊วยช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังจอประสาทตาและส่วนหลังของลูกตา ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพตาโดยรวม

4. สารสกัดจากงาดำ

งาดำ เป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็น วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเซลล์ต่างๆ รวมถึงเซลล์ในดวงตา งาดำมีส่วนช่วยในการสร้างชั้นไขมันในน้ำตา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ป้องกันการระเหยของน้ำตาเร็วเกินไป

5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานินและวิตามินซีสูง ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องดวงตาจากภาวะเครียดออกซิเดชัน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะตาแห้งเรื้อรังในวัยทอง

6. อินูลิน พรีไบโอติก

อินูลินช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดการอักเสบทั่วร่างกาย รวมถึงการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับภาวะตาแห้ง การมีสุขภาพลำไส้ที่ดียังช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพดวงตา

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ประโยชน์ของดีเน่ ฟลาโวพลัสต่อภาวะตาแห้งและสุขภาพในวัยทอง

ด้วยส่วนผสมที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ดีเน่ ฟลาโวพลัส จึงมีประโยชน์หลากหลายต่อผู้หญิงวัยทอง โดยเฉพาะในการบรรเทาภาวะตาแห้งและอาการอื่นๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากผลิตภัณฑ์ดีเน่ ฟลาโวพลัส ควรใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพตาและสุขภาพโดยรวม ดังนี้

  1. รับประทานดีเน่ ฟลาโวพลัสอย่างสม่ำเสมอ แนะนำให้วัยทองรับประทานวันละ 1 แคปซูล หลังอาหารเช้า ด้วยน้ำอุ่นเพื่อการดูดซึมที่ดีที่สุด
  2. ใช้น้ำตาเทียมเมื่อจำเป็น ในระหว่างที่รอให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกฤทธิ์ อาจใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการตาแห้งเฉพาะหน้า
  3. ปรับสภาพแวดล้อม ลดการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเป่าโดยตรง หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และฝุ่นละออง
  4. หมั่นกะพริบตา โดยเฉพาะเมื่อทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ควรใช้กฎ 20 – 20 – 20 คือ ทุก 20 นาที มองไกลออกไป 20 ฟุต นาน 20 วินาที
  5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นซึ่งส่งผลดีต่อการสร้างน้ำตาด้วย
  6. รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดเจีย วอลนัท ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของส่วนประกอบในดีเน่ ฟลาโวพลัส
  7. พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงการผลิตน้ำตาและสารหล่อลื่นต่างๆ

“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้หญิงวัยทอง โดยคำนึงถึงปัญหาสุขภาพสำคัญอย่างภาวะตาแห้งที่มักถูกมองข้าม ด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่ทำงานเสริมกันอย่างลงตัว ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง ลดการอักเสบ ปรับสมดุลฮอร์โมน และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

การดูแลสุขภาพตาในวัยทองอย่างครบวงจรด้วยการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพร่วมกับการปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้หญิงวัยทองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขโดยไม่ถูกรบกวนจากความไม่สบายตาและอาการรบกวนอื่นๆ ของวัยทอง

การฝังเข็มและการนวดกดจุด

การฝังเข็มและการนวดกดจุดเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในการบรรเทาอาการตาแห้ง โดยมีหลักการดังนี้

  • จุดสำคัญในการฝังเข็มสำหรับตาแห้ง จุดที่มักใช้ในการรักษาอาการตาแห้ง ได้แก่ จุดบนใบหน้ารอบดวงตา (เช่น BL1, BL2, ST1), จุดบนมือ (LI4, TH5) และจุดบนเท้า (LV3, KI3, SP6) ซึ่งเชื่อว่าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานและเลือดไปยังดวงตา
  • ผลการศึกษา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการฝังเข็มสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 – 8 สัปดาห์ สามารถช่วยเพิ่มการผลิตน้ำตาและลดอาการตาแห้งได้ โดยพบว่าผู้หญิงวัยทองตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฝังเข็มดีกว่ากลุ่มอื่น
  • การนวดกดจุด เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฝังเข็ม โดยใช้การกดจุดบริเวณขมับ รอบเบ้าตา และสันจมูก วันละ 5 – 10 นาที ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดการตึงเครียดของกล้ามเนื้อรอบดวงตา

การแพทย์ทางเลือกและสมุนไพรสามารถเป็นทางเลือกที่ดีในการเสริมการรักษาหลัก แต่ไม่ควรใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์โดยสิ้นเชิง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาแบบบูรณาการที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความรุนแรงของภาวะตาแห้งของแต่ละบุคคล

การออกกำลังกายสำหรับดวงตาในวัยทอง

อีกหนึ่งอย่างที่แม้แต่ร่างกายก็ยังต้องทำ ดวงตาก็เช่นกัน นั่นก็คือ “การออกกำลังกายดวงตา”การออกกำลังกายดวงตาอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งในผู้หญิงวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำตา เพิ่มการไหลเวียนเลือดรอบดวงตา และคลายความตึงของกล้ามเนื้อตา ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้น

ที่สำคัญทำตามง่ายมากๆ ทำได้ที่ทุก ที่เวลา และทุกวันด้วย!

บริหารกล้ามเนื้อตาและเปลือกตา

การบริหารกล้ามเนื้อตาและเปลือกตา ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและกระตุ้นการทำงานของต่อมต่างๆ รอบดวงตา โดยมีแบบฝึกหัดง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทุกวัน ดังนี้

  1. การกะพริบตาแบบสมบูรณ์
    • ให้วัยทองหลับตาให้สนิทและค้างไว้ 2 วินาที
    • ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
    • ทำซ้ำ 10 – 15 ครั้ง ทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องใช้สายตามาก
    • การกะพริบตาแบบสมบูรณ์ช่วยให้น้ำตากระจายทั่วผิวกระจกตาและกระตุ้นการทำงานของต่อมเมบิโบเมียนบริเวณขอบเปลือกตา
  1. การบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา
    • ให้วัยทองใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้วางบริเวณขอบเปลือกตาบนและล่าง
    • กระพริบตาซ้ำๆ 5 – 10 ครั้ง โดยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเปลือกตาที่นิ้ว
    • ทำซ้ำ 5 รอบ วันละ 3 ครั้ง
    • การฝึกนี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการทำงานของต่อมเมบิโบเมียน
  1. การนวดเปลือกตา
    • ให้วัยทองอุ่นผ้าสะอาดในน้ำอุ่น (ไม่ร้อนเกินไป) บิดให้หมาด
    • จากนั้นวางประคบบริเวณตา 1 – 2 นาที
    • ใช้นิ้วนวดเบาๆ ที่ขอบเปลือกตาบนและล่าง โดยนวดจากหัวตาไปหางตา
    • ทำวันละ 1 – 2 ครั้ง ก่อนนอนและ/หรือหลังตื่นนอน
    • การนวดช่วยละลายไขมันที่อุดตันในต่อมเมบิโบเมียนและเพิ่มการหลั่งของชั้นไขมันในน้ำตา
  1. การกลอกตา
    • แนะนำให้วัยทองนั่งในท่าสบาย หลังตรง
    • กลอกตาเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา 5 รอบ
    • กลอกตาเป็นวงกลมทวนเข็มนาฬิกา 5 รอบ
    • กลอกตาขึ้น-ลง 5 ครั้ง และซ้าย-ขวา 5 ครั้ง
    • ทำวันละ 3 รอบ เช้า กลางวัน และก่อนนอน
    • การกลอกตาช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองรอบดวงตา กระตุ้นการผลิตน้ำตา

สรุป

ภาวะตาแห้งในวัยหมดประจำเดือน หรือ วัยทอง เป็นอีกหนึ่งสุขภาพทางตาที่ผู้หญิงจำนวนมากต้องเผชิญ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างน้ำตาทั้งสามชั้น ได้แก่ ชั้นไขมัน ชั้นน้ำ และชั้นเมือก ทำให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคือง รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา และในบางรายอาจส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็นได้

ท้ายที่สุด การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเป็นเพียงอีกหนึ่งช่วงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของชีวิต แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างภาวะตาแห้ง แต่ด้วยความเข้าใจ การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม และการรักษาทางการแพทย์ที่ตรงจุด คุณสามารถก้าวผ่านช่วงเวลานี้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างแน่นอน และอย่าลืม คิดถึงสุขภาพ ให้ดีเน่ DNAe ช่วยคุณ…