คุณผู้อ่านทราบกันหรือไม่ว่า? เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วง “วัยทอง 11:11/67” ร่างกายของเรา จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย หนึ่งในนั้น คือ “ระบบทางเดินอาหารที่เริ่มอ่อนแอลง” กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม อาหารบางชนิดที่เคยรับประทานได้อย่างปลอดภัยในวัยหนุ่มสาว อาจกลายมาเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพได้ในวัยทอง
หลายคนอาจคิดว่า…การทานผักสด หรือ ผักดิบเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ว่าสำหรับคนวัยทอง การรับประทานผักดิบอาจนำมาซึ่งปัญหากระเพาะอักเสบได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มวัยทองที่มักถูกมองข้าม โดยเมื่อเข้าสู่วัยทอง ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ผู้สูงวัยมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคกระเพาะอักเสบมากกว่าวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยกระตุ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ
- การลดลงของกรดในกระเพาะ
ในวัยทองและผู้สูงอายุมักมีการผลิตกรดเกลือ (HCl) ในกระเพาะลดลงถึง 30- 40% เมื่อเทียบกับวัยหนุ่มสาว ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการย่อยโปรตีนลดลง และความสามารถในการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินบี12 แคลเซียม และธาตุเหล็กลดลงด้วย - การบางลงของชั้นเมือกที่ปกป้องกระเพาะ
เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงและผลิตเมือกปกป้องได้น้อยลง ทำให้กระเพาะบอบบางและเสี่ยงต่อการอักเสบมากขึ้น - การเคลื่อนไหวของกระเพาะลำไส้ช้าลง
การบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ลดลง ทำให้อาหารคงอยู่ในระบบทางเดินอาหารนานขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสการระคายเคืองและอาการท้องอืด แน่นท้อง - การลดลงของเอนไซม์ย่อยอาหาร
ตับอ่อนผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการย่อยอาหารที่มีเยื่อใยสูงหรือย่อยยาก เช่น ผักดิบ ลดประสิทธิภาพลง - การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้
ความหลากหลายของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหาร
ทำไมผักดิบจึงเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะอาหารในวัยทอง?
แม้ว่าผักดิบจะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่สำหรับผู้สูงอายุในวัยทองที่มีระบบย่อยอาหารที่เสื่อมถอยลงตามธรรมชาติ การรับประทานผักดิบอาจก่อให้เกิดปัญหากระเพาะอักเสบด้วยเหตุผลหลายประการ มาลองดูกันว่าเพราะอะไรจึงเกิดปัญหาเหล่านี้
1. เยื่อใยแข็งยากต่อการย่อย
ผักดิบ มีโครงสร้างเซลลูโลสและเยื่อใยที่แข็งและแน่นหนา ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์จำนวนมากในการย่อยสลาย เมื่อเข้าสู่วัยทองร่างกายผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้น้อยลง โดยเฉพาะเอนไซม์เซลลูเลสที่จำเป็นต่อการย่อยเยื่อใยพืช กระเพาะอาหารจึงต้องทำงานหนักและนานขึ้นเพื่อบีบตัวย่อยเยื่อใยเหล่านี้ การบีบตัวที่มากเกินไปส่งผลให้กล้ามเนื้อกระเพาะเกิดความล้า และกรดในกระเพาะมีโอกาสสัมผัสกับเยื่อบุกระเพาะได้นานขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุกระเพาะได้ในที่สุด
2. สารระคายเคืองตามธรรมชาติ
ผักหลายชนิด มีสารเคมีตามธรรมชาติที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะที่บอบบางในผู้สูงอายุ หากรับประทานแบบผักดิบ เช่น…
- กรดออกซาลิก พบมากในผักโขม ผักบุ้ง และชะอม กรดนี้อาจจับตัวกับแคลเซียมก่อให้เกิดผลึกคล้ายเข็มที่ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ ในวัยทองที่เยื่อบุกระเพาะบางลง ความเสี่ยงของการอักเสบจึงสูงขึ้น
- สารโฟเลต พบในพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี และคะน้า สารนี้อาจรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์และเพิ่มความไวต่อการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
- แคปไซซิน พบในพริกและผักที่มีรสเผ็ด สารนี้กระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อบุกระเพาะที่เสื่อมสภาพตามวัย
3. การปนเปื้อนของเชื้อโรค
ผักดิบมีความเสี่ยงสูงในการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด อาจทำให้เกิดอาการกระเพาะอักเสบได้
- แบคทีเรีย เช่น อีโคไล (E. coli), ซัลโมเนลล่า (Salmonella) และลิสทีเรีย (Listeria) ซึ่งอาจติดมากับดิน น้ำ หรือการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
- ไวรัส เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) ที่สามารถปนเปื้อนในผักสลัดและผักกาดต่างๆ
- ปรสิต เช่น จิอาร์เดีย (Giardia) และคริปโตสปอริเดียม (Cryptosporidium)
ในวัยทอง ปริมาณกรดในกระเพาะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ภาวะ Hypochlorhydria) ซึ่งเป็นด่านแรกในการทำลายเชื้อก่อโรค ทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ลดลง เมื่อเชื้อเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงตามวัยต้องทำงานหนักขึ้น ก่อให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะและลำไส้อย่างรุนแรงได้
4. สารพิษจากพืช
พืช ผักบางชนิด มีสารพิษที่พืชสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรูตามธรรมชาติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารของมนุษย์และอาจทำให้เกิดอาการกระเพาะอักเสบได้ หากนำมารับประทานแบบผักดิบๆ
- โซลานิน พบในมันฝรั่งที่เขียวหรืองอก มะเขือเทศดิบ และพืชตระกูล Nightshade อื่นๆ สารนี้มีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ประสาทและกระตุ้นการอักเสบ
- เลคติน พบมากในถั่วดิบ ธัญพืช และมะเขือเทศ ซึ่งสามารถจับกับเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารและก่อให้เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะในวัยทองผู้ที่มีภาวะลำไส้รั่ว ที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
- ไซยาไนด์ พบในเมล็ดแอปเปิล เชอร์รี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่บางชนิด แม้ปริมาณน้อยแต่อาจสะสมและก่อพิษในผู้ที่ระบบขับสารพิษไม่สมบูรณ์
5. กรดและสารเคมีในผักดิบ
ผักบางชนิดมีปริมาณกรดสูงหรือสารเคมีที่อาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ อันนี้ไปสู่อาการและอาจทำให้เกิดอาการกระเพาะอักเสบได้
- กรดซิตริก พบมากในมะเขือเทศ มะนาว และผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะและอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนในผู้ที่มีกรดไหลย้อน
- กรดมาลิก พบในแอปเปิล สตรอเบอร์รี่ และผักบางชนิด มีฤทธิ์กระตุ้นกระเพาะให้หลั่งกรดและน้ำย่อยมากขึ้น
- สารประกอบฟีนอล พบในผักผลไม้หลายชนิด แม้จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ แต่ในบางคนอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะได้ เมื่อรับประทานผักดิบ
แล้วผักชนิดใดบ้าง? ที่เมื่อทานในลักษณะของผักดิบแล้ว อาจจะเป็นก่อให้เกิดอาการระคายเคองและเป็นปัญหาต่อกระเพาะของวัยทอง…
ชนิดของผักดิบที่มีความเสี่ยงสูงต่อการกระตุ้นกระเพาะอักเสบ
1. ผักตระกูลกะหล่ำ
ผักตระกูลนี้มีสารอาหารที่มีประโยชน์มาก แต่หากวัยทองนำมารับประทานดิบอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อกระเพาะอาหารในวัยทอง
- กะหล่ำปลี เมื่อนำมารับประทานแบบผักดิบ นอกจากจะมีเยื่อใยแข็งและสารโฟเลตที่อาจระคายเคืองกระเพาะจนสามารถเกิดอาการกระเพาะอักเสบได้แล้ว ยังมีสารประกอบกำมะถันที่เรียกว่ากลูโคซิโนเลต ซึ่งเมื่อถูกย่อยจะกลายเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดแก๊สและอาการท้องอืด โดยเฉพาะในวัยทองที่ระบบย่อยอาหารที่อ่อนแอ
- บรอกโคลี มีโครงสร้างเยื่อใยที่แข็งแรงซึ่งต้องใช้เอนไซม์เฉพาะในการย่อยสลาย เมื่อรับประทานในลักษณะผักดิบ ร่างกายของวัยทองต้องทำงานหนักในการย่อย อาจนำไปสู่การหมักหมมในลำไส้และการผลิตแก๊สที่สร้างแรงดันย้อนขึ้นสู่กระเพาะอาหาร และอาจตามมาด้วยอาการกระเพาะอักเสบ นอกจากนี้ยังมีสารไอโซไทโอไซยาเนต ที่อาจระคายเคืองต่อผู้ที่มีกระเพาะไวต่อการอักเสบ
- กะหล่ำดอก หากทานลักษณะผักดิบ กะหล่ำดอกจะมีสารประกอบกำมะถันในปริมาณสูง ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดแก๊สแล้ว ยังอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนและระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะที่บอบบาง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อนอยู่แล้ว อาจนำไปสู่อาการกระเพาะอักเสบได้เช่นเดียวกัน
2. ผักที่มีกรดสูง
ผักที่มีความเป็นกรดสูงสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาโดยเฉพาะในวัยทองที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะอยู่แล้ว และอาจนำไปสู่อาการกระเพาะอักเสบได้
- มะเขือเทศ นอกจากจะมีกรดซิตริกสูงแล้ว ยังมีกรดมาลิกและกรดแอสคอร์บิก ซึ่งรวมกันแล้วทำให้มะเขือเทศมีความเป็นกรดสูง เมื่อนำมารับประทานในรูปแบบผักดิบจะกระตุ้นการหลั่งกรดเพพซินและกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะในวัยทอง หรือผู้ที่มีภาวะกระเพาะอักเสบหรือแผลในกระเพาะ มะเขือเทศดิบอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ เนื่องจากกรดเหล่านี้สามารถกัดกร่อนเยื่อบุกระเพาะที่อ่อนแอได้
- พริก สารแคปไซซินในพริกไม่เพียงแต่ทำให้วัยทองรู้สึกเผ็ดร้อน แต่ยังมีคุณสมบัติในการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกโดยตรง รวมถึงเยื่อบุกระเพาะอาหาร โดยหากรับประทานในรูปแบบผักดิบสารนี้จะไปกระตุ้นตัวรับความรู้สึกที่เรียกว่า TRPV1 บนผนังกระเพาะ ทำให้เกิดความรู้สึกแสบร้อนและอาจทำให้เกิดการกระเพาะอักเสบเฉพาะที่ได้ ในวัยทองที่มีการเสื่อมของเยื่อบุกระเพาะตามธรรมชาติ การรับประทานพริกดิบจึงอาจทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงได้
- หัวหอม มีสารประกอบกำมะถันที่เรียกว่าอัลลิซิน และสารประกอบซัลเฟอร์อื่นๆ ซึ่งแม้จะมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็สามารถระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารได้โดยตรง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการกระเพาะอักเสบ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานแบบผักดิบ นอกจากนี้ยังกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะและอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกในวัยทองผู้ที่มีภาวะกรดไหลย้อน
3. ผักที่มีเยื่อใยแข็ง
เยื่อใยที่แข็งและเหนียวในผักดิบบางชนิด อาจเป็นความท้าทายสำหรับระบบย่อยอาหารของวัยทอง
- แครอท เนื้อเยื่อของแครอทดิบ ประกอบด้วยเซลลูโลสที่แข็งแรงและเพคตินที่ต้องอาศัยการบดเคี้ยวอย่างละเอียดและเอนไซม์ย่อยที่แข็งแรง ในวัยทองที่มีการผลิตเอนไซม์น้อยลง การย่อยแครอทที่ทานในลักษณะผักดิบอาจไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดการหมักและแก๊สในลำไส้ ซึ่งอาจส่งผลย้อนกลับไปกระตุ้นกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการกระเพาะอักเสบได้ นอกจากนี้ เยื่อใยที่ไม่ถูกย่อยยังอาจขัดสีกับผนังกระเพาะที่บอบบาง ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
- หน่อไม้ฝรั่ง มีโครงสร้างเยื่อใยที่เหนียวและแข็ง ซึ่งประกอบด้วยเฮมิเซลลูโลสและลิกนินในปริมาณสูง ซึ่งเป็นเยื่อใยที่ย่อยยากที่สุดในธรรมชาติ การรับประทานแบบผักดิบและการย่อยที่ไม่สมบูรณ์นี้อาจทำให้เกิดการอุดตันเล็กๆ ในระบบทางเดินอาหาร และกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับวัยทองหรือผู้ที่มีกระเพาะอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีสารพูรีนสูงซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อผู้ป่วยโรคเกาต์ในวัยทองอีกด้วย
- ถั่วลันเตาดิบ เป็นโปรตีนจากพืชที่มีประโยชน์ 05:02/68 แต่มีเยื่อใยที่ยากต่อการย่อยเมื่อนำมาประทานแบบผักดิบแล้ว ยังมีสารยับยั้งโปรติเอส ซึ่งขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ย่อยโปรตีนในร่างกาย ทำให้เกิดการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ในวัยทองที่ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงอยู่แล้ว การรับประทานถั่วลันเตาในลักษณะของผักดิบ อาจนำไปสู่อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาจกระตุ้นให้เกิดการกระเพาะอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
4. ผักที่มีสารพิษหรือสารระคายเคือง
- ผักโขม มีกรดออกซาลิกในปริมาณสูง ซึ่งไม่เพียงแต่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม แต่ยังสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองโดยตรงต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารเมื่อนำมารับประทานเป็นผักดิบได้ ในวัยทองหรือผู้ที่มีกระเพาะอักเสบหรือแผลในกระเพาะ กรดออกซาลิกสามารถทำให้อาการแย่ลงได้ นอกจากนี้ยังอาจส่งเสริมการเกิดนิ่วในไต ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและการทำงานของไต
- มันฝรั่งดิบ มีสารโซลานิน และชาโคนิน ซึ่งเป็นสารกลุ่มไกลโคแอลคาลอยด์ที่พืชสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรู การนำมารับประทานแบบผักดิบๆ จะทำให้สารเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์เยื่อบุกระเพาะและลำไส้ได้โดยตรง ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องอย่างรุนแรงจนเกิดอาการกระเพาะอักเสบ ในวัยทองที่ระบบขับสารพิษทำงานช้าลง อาการอาจรุนแรงกว่าในคนหนุ่มสาว และอาจนำไปสู่ภาวะเลือดเป็นกรดได้
- ถั่วเขียวดิบ มีสารยับยั้งเอนไซม์หลายชนิด โดยเฉพาะสารยับยั้งทริปซิน ซึ่งขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ย่อยโปรตีนสำคัญ ทำให้เกิดการย่อยโปรตีนไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีสารเลคติน ซึ่งสามารถจับกับเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารและก่อให้เกิดการอักเสบได้ ในวัยทองที่มีการอักเสบเรื้อรังอยู่แล้วจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การรับประทานถั่วเขียวแบบผักดิบไม่ผ่าจการปรุงร้อน อาจยิ่งทำให้เกิดการกระเพาะอักเสบมากขึ้น
ประเภทของกระเพาะอักเสบที่อาจเกิดขึ้นได้… เมื่อรับประทานผักดิบในวัยทอง
กระเพาะอักเสบ เป็นภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบ ซึ่งในวัยทองมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามอายุ เช่น การลดลงของเซลล์ผลิตเมือกที่ปกป้องผนังกระเพาะ การลดลงของประสิทธิภาพในการผลิตกรดและเอนไซม์ย่อยอาหาร และภูมิคุ้มกันที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยกระเพาะอักเสบสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทตามลักษณะและสาเหตุ โดยแต่ละประเภทมีความสัมพันธ์กับการรับประทานผักดิบแตกต่างกัน ลองมาดูว่าคุณผู้อ่านเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
1. กระเพาะอักเสบเฉียบพลัน (Acute Gastritis)
กระเพาะอักเสบเฉียบพลัน เป็นภาวะที่เยื่อบุผนังกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบอย่างฉับพลัน ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดและความไม่สบายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 2 – 10 วัน หากได้รับการดูแลและรักษาที่เหมาะสม
- การติดเชื้อจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
เชื้อแบคทีเรียอย่าง Escherichia coli, Salmonella, Shigella หรือไวรัส Norovirus สามารถปนเปื้อนในผักดิบและก่อให้เกิดการอักเสบอย่างเฉียบพลัน - การรับประทานอาหารที่ระคายเคืองกระเพาะ
ซึ่งรวมถึงผักดิบบางชนิดที่มีสารเคมีตามธรรมชาติที่มีฤทธิ์ระคายเคือง เช่น พริก หัวหอม กระเทียมดิบ หรือผักที่มีกรดออกซาลิกสูง เช่น บีทรูท ผักโขม - การใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs
เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, หรือนาโพรเซน ซึ่งผู้สูงอายุมักใช้บ่อยเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อ - การดื่มแอลกอฮอล์
โดยเฉพาะการดื่มในปริมาณมากต่อครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเยื่อบุกระเพาะ - ความเครียดทางร่างกายรุนแรง
เช่น การเจ็บป่วยหนัก การผ่าตัดใหญ่ การบาดเจ็บรุนแรง หรือการเผาไหม้
อาการสำคัญที่สามารพบเจอได้…
- วัยทองมีอาการปวดแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ หรือใต้ลิ้นปี่
- คลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- ท้องอืด แน่นท้อง
- อาจมีเลือดออกในทางเดินอาหาร (ในกรณีรุนแรง)
2. กระเพาะอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gastritis)
กระเพาะอักเสบเรื้อรัง เป็นภาวะการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่ดำเนินต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยอาจเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนหรือหลายปี ลักษณะสำคัญของโรคนี้ คือ การอักเสบที่ค่อยเป็นค่อยไป และส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและการทำงานของกระเพาะอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori
เป็นสาเหตุหลักของกระเพาะอักเสบเรื้อรังทั่วโลก โดยเฉพาะในวัยทองที่มีอัตราการติดเชื้อสูงกว่ากลุ่มอายุอื่น - โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune disease)
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีเซลล์ของกระเพาะอาหารเอง - การรับประทานอาหารที่มีความเสี่ยงเป็นประจำ
เช่น อาหารรสจัด อาหารหมักดอง อาหารที่มีสารกันบูด หรือผักดิบที่มีเส้นใยแข็งและย่อยยาก - การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะยากลุ่ม NSAIDs, ยาสเตียรอยด์, หรือยารักษาโรคหัวใจและความดันบางชนิด - การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง - ภาวะรีฟลักซ์ของน้ำดี (Bile reflux)
น้ำดีไหลย้อนจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง
อาการสำคัญที่สามารพบเจอได้…
- อาการอาจไม่ชัดเจนหรือรุนแรงเท่ากระเพาะอักเสบเฉียบพลัน
- อาหารไม่ย่อย จุกเสียด แน่นท้อง
- เรอบ่อย มีลมในกระเพาะมาก
- ปวดท้องเรื้อรัง มักเป็นๆ หายๆ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลีย เนื่องจากอาจมีภาวะโลหิตจางร่วมด้วย
3. กระเพาะอักเสบจากกรดไหลย้อน (Reflux Gastritis)
กระเพาะอักเสบประเภทนี้ เกิดจากการไหลย้อนของน้ำดีจากลำไส้เล็กกลับเข้าสู่กระเพาะอาหาร ซึ่งพบได้บ่อยหลังการผ่าตัดกระเพาะบางส่วน
- มักพบในผู้ที่เคยผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
เช่น การผ่าตัดเพื่อรักษาแผลในกระเพาะ หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร - มีความเสี่ยงสูงในวัยทองที่มีปัญหาการทำงานของกล้ามเนื้อหูรูด
โดยเฉพาะหูรูดไพโลริกที่แยกระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กส่วนต้น - ภาวะลำไส้เคลื่อนไหวผิดปกติ
ทำให้เกิดการไหลย้อนของสารในลำไส้เล็กกลับเข้าสู่กระเพาะ - โรคนิ่วในถุงน้ำดี
ส่งผลต่อการไหลเวียนของน้ำดีและอาจทำให้เกิดการไหลย้อน
อาการสำคัญที่สามารพบเจอได้…
- ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน
- คลื่นไส้ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร
- อาเจียนอาจมีน้ำดีปน (มีสีเหลืองหรือเขียว)
- น้ำหนักลด
- อาการแย่ลงหลังรับประทานอาหารมัน หรือเผ็ด
ความสัมพันธ์กับการรับประทานผักดิบในวัยทอง
- ปริมาณที่มากเกินไป
ผักดิบที่มีกากใยสูงเมื่อรับประทานในปริมาณมากจะทำให้กระเพาะต้องทำงานนานขึ้น เพิ่มระยะเวลาที่กระเพาะบีบตัวและเวลาที่หูรูดไพโลริกเปิด เพิ่มโอกาสในการเกิดการไหลย้อน - ผักที่มีสารกระตุ้นการหลั่งกรด
ผักดิบบางชนิดเช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ มีสารที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีการบีบตัวของกระเพาะมากขึ้นและเพิ่มโอกาสการเกิดรีฟลักซ์ - การรับประทานในเวลาที่ไม่เหมาะสม
การรับประทานผักดิบปริมาณมากก่อนนอน หรือเอนตัวอาจเพิ่มความเสี่ยงของการไหลย้อน - ผักที่ก่อให้เกิดแก๊ส
ผักตระกูลกะหล่ำ หัวหอม หรือถั่วต่างๆ เมื่อรับประทานดิบอาจก่อให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร เพิ่มแรงดันและส่งเสริมการเกิดการไหลย้อน
4. กระเพาะอักเสบจากความเครียด (Stress-related Gastritis)
เป็นอีกหนึ่งประเภทที่พบบ่อยในวัยทอง กับ “ภาะวะความเครียด 06:04/68” ที่สามารถเป็นต้นตอของโรคต่างๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การสูญเสีย หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ
- เกิดจากการตอบสนองต่อความเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ
ความเครียด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปสู่กระเพาะอาหารลดลง และกระตุ้นการหลั่งกรดมากเกินความจำเป็น - มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการสำคัญที่สามารพบเจอได้…
- ปวดท้องตอนท้องว่างหรือเวลาเครียด
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ: ใจสั่น เหงื่อออก มือเท้าเย็น
ความสัมพันธ์กับการรับประทานผักดิบในวัยทอง
- ความเครียดจากการย่อย
ผักดิบที่มีเส้นใยสูงและย่อยยากอาจเพิ่มภาระให้กับระบบทางเดินอาหารที่ทำงานช้าลงในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความเครียดทางกายภาพต่อกระเพาะอาหาร - สารระคายเคือง
ในภาวะเครียด เยื่อบุกระเพาะอ่อนไหวมากขึ้นต่อสารระคายเคืองในผักดิบบางชนิด - การปรับสมดุลจุลินทรีย์
ผักดิบมีใยอาหารที่ส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีความเชื่อมโยงกับแกน gut-brain axis ที่ส่งผลต่อความเครียดและการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
การป้องกันกระเพาะอักเสบจากผักดิบในวัยทอง ทานอย่างไรให้ปลอดภัย!
การป้องกันกระเพาะอักเสบมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อระบบย่อยอาหารเริ่มอ่อนแอลง เมื่อคุณผู้อ่านได้ก้าวสู่วัยทอง แน่นอนว่า…การรับประทานผักเพื่อสุขภาพยังคงสำคัญ แต่เราจำเป็นต้องปรับวิธีการรับประทานให้เหมาะสมกับช่วงวัยนี้
ลองมาดูการแนะนำวิธีป้องกันกระเพาะอักเสบจากการรับประทานผักดิบในวัยทอง เพื่อให้คุณยังคงได้รับประโยชน์จากผักโดยไม่ทำร้ายกระเพาะอาหารที่เปราะบาง
การเลือกชนิดผักให้เหมาะกับวัยทอง
ผักที่แนะนำสำหรับวัยทอง…
- ผักใบเขียวที่นุ่ม
เช่น ผักโขม ผักกาดขาว ผักบุ้ง ที่มีเยื่อใยนุ่มและย่อยง่าย - ผักหัว
เช่น แครอท บีทรูท หัวไชเท้า ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ สามารถนำมาปรุงให้นุ่มได้ง่าย - ผักตระกูลกะหล่ำที่ปรุงสุก
เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ซึ่งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต่อต้านมะเร็ง แต่ควรปรุงให้สุกเพื่อลดสารระคายเคือง - ฟักทอง มันเทศ และมันฝรั่ง
เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ดี มีวิตามินเอสูง และย่อยง่ายเมื่อปรุงสุก - เห็ด
อุดมด้วยวิตามินดีและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ย่อยง่ายเมื่อปรุงสุกดีแล้ว
ผักที่ควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง…
- ผักที่มีกรดสูง
เช่น มะเขือเทศสด พริก มะนาว ซึ่งอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ - ผักที่มีเยื่อใยแข็ง
เช่น หน่อไม้ ข้าวโพด ถั่วฝักยาว ที่ย่อยยาก หากไม่ปรุงให้สุกนุ่มพอ - ผักที่มีน้ำมันหอมระเหยสูง
เช่น หัวหอม กระเทียมสด หรือขิงสด ซึ่งอาจระคายเคืองกระเพาะที่บอบบาง - ผักดิบที่แข็งกรอบ
เช่น แครอทดิบ กะหล่ำปลีดิบ หรือผักกาดแก้วที่ไม่ผ่านการปรุงเลย - ผักที่มีสารออกซาเลตสูง
เช่น ผักโขมดิบหรือชะอมดิบ ซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วและระคายเคืองกระเพาะ
นอกจากการเลือกผักที่เหมาะสมต่อการรับประทานของวัยทองแล้ว การเตรียมผักอย่างเหมาะสมก่อนรับประทาน ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อกระเพาะอักเสบในวัยทองได้อีกด้วย เริ่มต้นจาก…
1. การล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
การล้างผักอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยกำจัดสารเคมีตกค้างและเชื้อโรค แต่ยังช่วยลดสารระคายเคืองธรรมชาติบางชนิดในผักได้
- ล้างด้วยน้ำไหลผ่าน
ล้างผักใต้น้ำที่ไหลเบาๆ อย่างน้อย 30 วินาที ใช้มือถูเบาๆ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ - แช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู
ใช้น้ำส้มสายชูขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน แช่ผักประมาณ 15 – 20 นาที จะช่วยลดสารเคมีตกค้างและแบคทีเรียได้มากถึง 90% - แช่ในน้ำเกลือ
ละลายเกลือ 1 ช้อนโต๊ะในน้ำอุ่น 4 ถ้วย แช่ผักประมาณ 15 – 20 นาที สามารถช่วยกำจัดแมลงเล็กๆ และลดสารเคมีตกค้างได้ - ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
หลังจากแช่ในน้ำส้มสายชูหรือน้ำเกลือ ให้ล้างผักด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อกำจัดรสเปรี้ยวหรือเค็มที่อาจหลงเหลืออยู่ - ซับให้แห้ง
ใช้กระดาษซับหรือผ้าสะอาดซับน้ำส่วนเกินออกจากผัก ความชื้นที่มากเกินไปอาจเร่งการเน่าเสียและการเจริญของเชื้อรา
2. ปอกเปลือกและตัดแต่งผักให้สวยงาม
- ปอกเปลือกแข็ง
ผักที่มีเปลือกแข็งหรือหนา เช่น แครอท ฟักทอง หรือบีทรูท ควรปอกเปลือกออกเพื่อให้ย่อยง่ายขึ้น เนื่องจากเปลือกมักมีเยื่อใยแข็งที่ย่อยยาก - ตัดส่วนแข็งออก
กำจัดส่วนแข็งของผัก เช่น ก้านบรอกโคลี ก้านกะหล่ำ หรือแกนผักกาดขาว ซึ่งมักมีเยื่อใยแข็งและย่อยยาก - ตัดแต่งชิ้นส่วนที่ไม่สดหรือช้ำ
ส่วนที่ช้ำหรือเน่าของผักมักมีปริมาณเชื้อราและแบคทีเรียสูง ควรตัดทิ้งเพื่อลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง
3. หั่นเป็นชิ้นเล็กให้พอดีคำ รับประทานง่าย
- หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
การหั่นผักเป็นชิ้นขนาด 1 – 2 เซนติเมตร จะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสความร้อนและทำให้ปรุงสุกได้ทั่วถึง รวมทั้งช่วยให้ร่างกายย่อยได้ง่ายขึ้น - สับละเอียดสำหรับผักที่มีเยื่อใยสูง
ผักที่มีเยื่อใยสูง เช่น คะน้า หรือผักโขม ควรสับให้ละเอียดเพื่อทำลายโครงสร้างเซลลูโลสบางส่วน ทำให้ย่อยง่ายขึ้น - การตำหรือบด
สำหรับผักบางชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ การตำหรือบดจะช่วยให้สารอาหารถูกปลดปล่อยออกมาได้ดีขึ้นและลดการระคายเคืองกระเพาะ
4. ขูดหรือสไลด์ให้ผักบางลง
- ขูดหรือสไลด์เป็นแผ่นบาง
ผักที่มีเนื้อแน่นแข็ง เช่น แครอท แตงกวา หรือบีทรูท ควรขูดหรือสไลด์เป็นแผ่นบางๆ ความหนาไม่เกิน 2 – 3 มิลลิเมตร เพื่อลดขนาดของเยื่อใยให้สั้นลง ทำให้ร่างกายย่อยได้ง่ายขึ้น - ใช้เครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำผักและผลไม้
การปั่นหรือคั้นน้ำผักเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยทำลายโครงสร้างเซลล์ของผัก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องทำงานหนักในการย่อยเยื่อใย
5. แช่น้ำ
- แช่ผักใบในน้ำเย็น
การแช่ผักกาดหอม ผักชี หรือผักใบเขียวอื่นๆ ในน้ำเย็นประมาณ 30 นาทีก่อนรับประทาน จะช่วยให้ผักกรอบและสดขึ้น ทั้งยังช่วยลดสารขมหรือสารระคายเคืองบางชนิด - แช่ผักรากในน้ำเย็น
การแช่ผักรากบางชนิด เช่น หัวไชเท้า แรดิช ในน้ำเย็น จะช่วยลดความเผ็ดร้อนและการระคายเคืองกระเพาะ
วิธีการปรุงผักเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะ
คุณผู้อ่านได้ทราบข้อมูลที่เรานำมาฝากไปแล้วเกี่ยวกับการทานผักดิบว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างไรได้บ้าง? การปรุงผักด้วยความร้อนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงต่อกระเพาะอักเสบในวัยทอง เนื่องจากความร้อนจะช่วยทำลายเชื้อโรค อ่อนตัวเยื่อใยที่แข็ง และลดสารระคายเคืองตามธรรมชาติในผัก ลองมาดูว่ามีวิธีการปรุงสุกอย่างไรให้ทานอร่อยบ้าง?
1. การนึ่ง
การนึ่ง เป็นวิธีการปรุงที่ดีที่สุดสำหรับผักในวัยทอง เพราะช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารได้มากกว่าการต้มและทำให้เยื่อใยอ่อนตัวลงด้วย โดยเวลาที่เหมาะสมเพียงนึ่งผักไว้ 3 – 7 นาที ขึ้นอยู่กับชนิดของผัก เช่น ผักใบเขียว 2 – 3 นาที, บรอกโคลี/กะหล่ำดอก 4 – 5 นาที และแครอท/มันฝรั่ง 6 – 7 นาที โดยสังเกตว่าผักควรนุ่มพอประมาณแต่ยังคงสีสดใส ก็สามารถนำมารับประทานได้แล้ว
2. การต้ม
การต้มเหมาะสำหรับผักที่มีเยื่อใยแข็งและเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการทำให้ผักนั้นสุกขึ้นมาได้ แต่ก็มีข้อควรระวังเหมือนกัน เพราะการต้มนานเกินไปอาจทำให้วิตามินที่ละลายในน้ำสูญเสียไป หากเป็นไปได้ควรใช้น้ำในปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพื่อลดการสูญเสียสารอาหาร
- การต้มด้วยเวลาเร็ว ระยะเวลา 1 – 3 นาที จะเหมาะสำหรับผักใบเขียว บรอกโคลี ถั่วลันเตา ที่ต้องการคงความกรอบและสีสด ส่วนการต้ม
- การต้มด้วยระยะเวลาปกติ ประมาณ 3 – 7 นาที หรือจนกว่าผักจะนุ่มพอดี จะเหมาะสำหรับผักรากและหัว เช่น แครอท มันฝรั่ง บีทรูท อาจเติมเกลือเล็กน้อยในน้ำต้มเพื่อเพิ่มรสชาติและช่วยให้ผักนุ่มเร็วขึ้น
3. การผัดเร็ว
การผัดเร็ว หรือ ผัดน้ำมันน้อย เป็นวิธีที่รักษารสชาติและคุณค่าทางโภชนาการได้ดีไม่แพ้กับสองตัวเลือกก่อนหน้านี้เช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ การใช้กระทะที่ร้อน และการหั่นผักเป็นชิ้นขนาดที่สม่ำเสมอกันเพื่อให้ผักสุกทั่วพร้อมกันแล้ว การเรียงลำดับผักที่เนื้อหนา และค่อยใส่ผักนุ่มกว่าตามลำดับก็ช่วยให้เราทานผักสุกได้พร้อมกันอีกด้วย
- ผักใบและผักบาง ใช้ระยะเวลาผักประมาณ 1 – 2 นาที
- ผักที่มีความหนาปานกลาง เช่น พริก หอมใหญ่ ใช้ระยะเวลา 2 – 3 นาที
- ผักที่มีเนื้อแน่น เช่น แครอท บรอกโคลี ใช้ระยะเวลา 3 – 5 นาที
4. การอบ
การอบผัก เป็นวิธีการปรุงอาหารที่ได้รับความนิยมเพราะช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการและสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยความร้อนที่สม่ำเสมอและอ่อนโยน การอบจะทำให้ผักสุกนุ่ม และดึงเอาความหวานธรรมชาติออกมาได้ดี
- ผักที่เหมาะได้แก่ แครอท บีทรูท หอมหัวใหญ่ บรอกโคลี กะหล่ำดอก ฟักทอง มันเทศ
นอกจากการรับประทานผักที่ดีต่อสุขภาพของวัยทองแล้ว หากบางท่านที่ยังมีอาการกระเพาะอักเสบเพิ่มเติม ตลอดจนอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยทอง ไม่ว่าจะเป็น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกง่าย อาการนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน อาจจะต้องหาตัวช่วยในการดูแลร่างกายเพิ่มเติม ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถบรรเทาให้ดีขึ้นได้ เพราะ…
“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการพิเศษของร่างกายในช่วงวัยทองสำหรับคุณผู้หญิง แต่ละแคปซูลได้รวบรวมสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อช่วยฟื้นฟูและบำรุงระบบต่างๆ ของร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอย ประกอบด้วย
- สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศสเปน
- สารสกัดจากตังกุย
- สารสกัดจากแปะก๊วย
- สารสกัดจากงาดำ
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
- อินูลิน พรีไบโอติก
โดยจากข้อมูลงานวิจัยพบว่าประมาณ 40% ของผู้ป่วยกระเพาะอักเสบวัยทองมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่ง “ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ได้รับการออกแบบสูตรจากคุณหมอและเภสัชกรที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลกลุ่มวัยทอง ให้ช่วยบรรเทาอาการกระเพาะอักเสบที่มักพบในวัยทองผ่านกลไกดังนี้
- ปกป้องเยื่อบุกระเพาะ
สารสกัดจากถั่วเหลืองและตังกุยช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูเยื่อบุกระเพาะที่บางลงตามวัย - ลดการอักเสบ
สารสกัดจากแปะก๊วยและแครนเบอร์รี่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบตามธรรมชาติ ช่วยลดอาการอักเสบในกระเพาะอาหาร - เพิ่มการย่อยอาหาร
อินูลิน พรีไบโอติกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้องและมีลมในกระเพาะหลังรับประทานอาหาร - ป้องกันการติดเชื้อ
แครนเบอร์รี่ออร์แกนิคมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรค ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารซึ่งเสี่ยงมากขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะลดลงตามวัย - ฟื้นฟูสมดุลในระบบทางเดินอาหาร
การผสมผสานของพรีไบโอติกและสารสกัดธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกระเพาะโดยรวม
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และสูตรของคุณผู้ชายวัยทองกับ “ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับวัยทอง ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของร่างกายในวัยนี้อย่างครอบคลุม ผสมผสานสารสกัดธรรมชาติ 7 ชนิดที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพองค์รวม เพิ่มภูมิคุ้มกัน และบรรเทาปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยทอง โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
- สารสกัดจากโสมเกาหลี
- สารสกัดจากฟีนูกรีก
- แอล อาร์จีนีน
- สารสกัดกระชายดำ
- ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
- สารสกัดจากแปะก๊วย
- สารสกัดจากงาดำ
นอกจากประโยชน์โดยตรงต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว “ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับปัญหากระเพาะอักเสบในวัยทอง
- การดูดซึมสารอาหารที่ดีขึ้น
เมื่อระบบทางเดินอาหารแข็งแรง การดูดซึมสารอาหารก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการขาดสารอาหารสำคัญในวัยทอง เช่น วิตามินบี12 ธาตุเหล็ก และแคลเซียม ป้องกันภาวะโลหิตจางและกระดูกพรุนที่พบบ่อยในวัยทอง
- ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
ส่วนประกอบหลายอย่างใน ดีเน่ แอนโดรพลัส โดยเฉพาะโสมเกาหลีและซิงค์ มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญมากในวัยทองที่ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง
- ลดภาวะอ่อนเพลียและเพิ่มพลังงาน
เมื่อกระเพาะและลำไส้แข็งแรง การย่อยและดูดซึมอาหารมีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงได้รับพลังงานอย่างเพียงพอ ช่วยลดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายที่พบบ่อยในผู้ป่วยกระเพาะอักเสบวัยทอง
- สนับสนุนสุขภาพจิตและอารมณ์
ปัญหากระเพาะอักเสบมักส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้า ส่วนผสมอย่างโสมเกาหลีและแปะก๊วยช่วยสนับสนุนสุขภาพสมองและระบบประสาท ลดความเครียด และส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการแยกตัวจากสังคม
ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอักเสบมักหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนอกบ้านหรือการพบปะสังสรรค์ เพราะกลัวอาการปวดท้องหรือไม่สบาย การมีระบบทางเดินอาหารที่แข็งแรงขึ้นจะช่วยให้สามารถใช้ชีวิตทางสังคมได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” และ “ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” นับเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยในการได้รับสารอาหารสำคัญจากพืชผักโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการกระตุ้นอาการกระเพาะอักเสบ ด้วยกระบวนการสกัดพิเศษที่ขจัดสารระคายเคืองตามธรรมชาติออกไป ขณะที่ยังคงคุณค่าทางโภชนาการและสารพฤกษเคมีสำคัญไว้อย่างครบถ้วน
โดยแนะนำให้รับประทานวันละ 1 แคปซูล หลังอาหารมื้อที่สะดวกเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมสารอาหารอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใน 1 ขวดมี 30 แคปซูล เพียงพอสำหรับการรับประทาน 1 เดือน โดยการรับประทาน ดีเน่ ฟลาโวพลัส อย่างต่อเนื่อง คุณจะสังเกตเห็นประโยชน์ต่อสุขภาพดังนี้
ระยะแรก (1-2 สัปดาห์)
- อาการระบบทางเดินอาหารดีขึ้น เช่น ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียด
- การนอนหลับดีขึ้น และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
- อาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืนลดลง
ระยะกลาง (3 – 4 สัปดาห์)
- ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น รับประทานอาหารได้หลากหลายขึ้นโดยไม่รู้สึกแน่นท้อง
- อาการหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวนลดลงอย่างชัดเจน
- ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากขึ้น
ระยะยาว (1-3 เดือน)
- ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย
- กระดูกและข้อแข็งแรง ลดอาการปวดข้อ
- ความจำและสมาธิดีขึ้น
- การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า
แม้ว่า “ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” และ “ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” จะมีส่วนช่วยในการป้องกันและบรรเทาอาการกระเพาะอักเสบในวัยทอง แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการระมัดระวังในการรับประทานผักดิบที่มีเยื่อใยแข็ง มีกรดสูง หรือมีสารระคายเคือง ควรปรุงสุกผักเหล่านี้เพื่อให้ย่อยง่ายขึ้นและลดสารระคายเคือง
นอกจากนี้ หากมีอาการรุนแรงของกระเพาะอักเสบ เช่น อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระดำหรือมีเลือดปน ปวดท้องรุนแรงไม่บรรเทา มีไข้สูงร่วมกับอาการปวดท้อง หรือน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วโดยไม่ตั้งใจ ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
สรุป
แม้ว่า “ผัก” จะเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูงสำหรับวัยทอง แต่การเลือกชนิดและวิธีการรับประทานที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการป้องกันการกระตุ้นอาการกระเพาะอักเสบ ผักที่มีเยื่อใยแข็ง มีกรดสูง หรือมีสารระคายเคืองควรได้รับการปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
การดูแลสุขภาพของระบบทางเดินอาหารเป็นส่วนสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยทอง และการเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
และเลือกสุขภาพ อย่าลืมเลือกดีเน่ DNAe ดูแลคุณ…