เมื่อโรคเกาต์แฝงตัวเป็นภัยเงียบต่อหัวใจ
“โรคเกาต์” มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคที่ทำให้เกิดการปวดบวมตามข้อ โดยเฉพาะที่นิ้วโป้งเท้า แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า…หากละเลยการรักษาโรคเกาต์อย่างจริงจัง โรคนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่คุกคามต่อชีวิต โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะจากการศึกษาวิจัยล่าสุดพบว่า ผู้ป่วยโรคเกาต์มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจและเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงกว่าคนทั่วไปถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมากก
ยิ่งในกลุ่มวัยทอง ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอย่างมาก ความเสี่ยงนี้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจอยู่แล้ว การเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างโรคทั้งสองจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและดูแลสุขภาพ
แล้วทำไม? วัยทองจึงเสี่ยงต่อโรคเกาต์มากยิ่งขึ้น…
จากสถิติที่มีการเก็บสำรวจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า…“โรคเกาต์” มีอัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มวัยทอง โดยเฉพาะในเพศชายที่มีอายุมากกว่า 45 ปี และในเพศหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศในช่วงวัยนี้มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมา
- ผู้ชาย ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายลดน้อยลง
- ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเคยช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของเมตาบอลิซึมและการทำงานของไตที่เสื่อมถอยลงตามวัยยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายเป็นไปได้ยากขึ้น
ขณะเดียวกันวัยทองยังเป็นช่วงที่ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ให้เห็นว่า อัตราการเกิดโรคหัวใจในกลุ่มอายุ 45 – 60 ปี เพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงอายุ 30 – 44 ปี โดยมีปัจจัยสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดที่เริ่มมีการแข็งตัวและสูญเสียความยืดหยุ่น การสะสมของไขมันในหลอดเลือดที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
จากการศึกษาระยะยาวในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามผู้ป่วยเกาต์มากกว่า 25,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่า ผู้ป่วยเกาต์มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 38% โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอายุ 50 – 60 ปี ที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจสูงถึง 42%
และเพื่อให้คุณผู้อ่านไม่เป็นโรคเกาต์ และมีโรคหัวใจเข้ามาแทรกซ้อนหรือเกี่ยวเนื่องกัน เราไปทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้น…
โรคเกาต์คืออะไร? ทำไมวัยทองต้องระวังเป็นพิเศษ
“โรคเกาต์” เกิดจากภาวะที่ร่างกายมีระดับกรดยูริค (Uric acid) ในเลือดสูงผิดปกติจนเกิดการตกผลึกสะสมตามข้อต่างๆ โดยเฉพาะข้อเท้า ข้อนิ้วโป้งเท้า ข้อเข่า และข้อศอก การสะสมของผลึกเหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่บริเวณข้อนั้นๆ
แล้วกรดยูริคคืออะไร?
กรดยูริค เป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการเผาผลาญสารพิวรีน (Purine) ซึ่งพบได้ทั้งในอาหารที่รับประทานและในเซลล์ของร่างกายเอง ในภาวะปกติร่างกายของเราจะกำจัดกรดยูริคส่วนเกินออกทางไตและลำไส้ แต่เมื่อร่างกายผลิตกรดยูริคมากเกินไป หรือไม่สามารถขับออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะกรดยูริคในเลือดสูง”
โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์สูงกว่าวัยอื่นๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ
- การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ในผู้หญิงวัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลให้การกำจัดกรดยูริคผ่านทางไตลดประสิทธิภาพลง ทำให้มีระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น ส่วนในผู้ชาย ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ลดลงตามอายุก็ส่งผลต่อการเผาผลาญสารพิวรีนเช่นกัน
- การเสื่อมของการทำงานของไต เมื่ออายุมากขึ้นและเข้าสู่วัยทองประสิทธิภาพในการทำงานของไตมักลดลง ทำให้การขับกรดยูริคออกจากร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดการสะสมในเลือดมากขึ้น
- โรคร่วมและการใช้ยา วัยทองมักเผชิญกับโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งทั้งตัวโรคเองและยาที่ใช้รักษา โดยเฉพาะยาขับปัสสาวะบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์
- การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและพฤติกรรมการบริโภค วัยทองมักมีการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนร่างกาย มีไขมันสะสมมากขึ้น และอาจมีภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเกาต์ นอกจากนี้ พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ
- การลดลงของกิจกรรมทางกาย หลายคนในวัยทองมีกิจกรรมทางกายที่ลดลง ทำให้การเผาผลาญพลังงานลดลง เกิดการสะสมของไขมันและน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์
อาการและสัญญาณเตือนของโรคเกาต์
- อาการปวดข้อเฉียบพลันและรุนแรง มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในวัยทองบางรายอาจตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยอาการปวดรุนแรงที่ข้อ โดยเฉพาะข้อนิ้วโป้งเท้า ความปวดมักรุนแรงมากจนกระทั่งไม่สามารถสัมผัส หรือแม้แต่ทนต่อน้ำหนักผ้าห่มที่ทาบลงบนบริเวณนั้นได้
- การอักเสบที่ชัดเจน ข้อที่ได้รับผลกระทบจากโรคเกาต์จะมีอาการบวม แดง ร้อน และมีความไวต่อการสัมผัสอย่างมาก
- การจำกัดการเคลื่อนไหว ความเจ็บปวดและการบวมจากข้อต่างๆ อาจทำให้การเคลื่อนไหวของข้อถูกจำกัด วัยทองบางรายอาจไม่สามารถเดินได้ในช่วงที่มีอาการกำเริบ
- ระยะเวลาของอาการ อาการกำเริบของโรคเกาต์มักคงอยู่ประมาณ 3 – 10 วัน แล้วค่อยๆ ดีขึ้นแม้ไม่ได้รับการรักษา แต่มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำ
- ตุ่มโทฟัส ในวัยทองผู้ที่เป็นโรคเกาต์เรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจพบการสะสมของผลึกกรดยูริคเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง เรียกว่า “โทฟัส” มักพบบริเวณใบหู นิ้วมือ เอ็นข้อศอก หรือรอบๆ ข้อที่ได้รับผลกระทบ
โรคเกาต์เป็นความผิดปกติของการเผาผลาญสารพิวรีนที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของข้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทองที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การทำงานของไต โรคร่วม และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
แล้วการที่เป็นโรคเกาต์ จะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้นได้ยังไง?
ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายปีที่แพทย์และนักวิจัยสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างโรคเกาต์และโรคหัวใจ แต่ในปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ยืนยันความเชื่อมโยงนี้ โดยมีกลไกสำคัญหลายประการที่อธิบายว่าเหตุใดผู้ป่วยเกาต์จึงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงขึ้น คือ “การอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย” โรคเกาต์ไม่ได้เป็นเพียงการอักเสบเฉพาะที่บริเวณข้อเท่านั้น แต่เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยเกาต์ยังคงมีระดับสารอักเสบในเลือดสูงกว่าคนทั่วไป โดยจากการศึกษาในปี 2023 จากวารสาร Rheumatology พบว่าผู้ป่วยเกาต์มีระดับ CRP สูงกว่าคนทั่วไปถึง 63% แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการปวดข้อกำเริบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอักเสบในผู้ป่วยเกาต์เป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง
และกรดยูริกไม่ได้เป็นเพียงตัวบ่งชี้ของโรคเกาต์เท่านั้น แต่ยังเป็นสารที่มีผลโดยตรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยจากการวิจัยในห้องทดลองแสดงให้เห็นว่ากรดยูริกสามารถ
- ทำลายเซลล์บุผนังหลอดเลือด กรดยูริกลดการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว การลดลงของไนตริกออกไซด์ทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบตัน
- กระตุ้นการอักเสบของผนังหลอดเลือด กรดยูริกกระตุ้นการหลั่งสารอักเสบจากเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการสะสมของคอเลสเตอรอลและการสร้างคราบพลัคในหลอดเลือด
- เพิ่มการแข็งตัวของเลือด กรดยูริกมีผลเพิ่มการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด
- กระตุ้นระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน กรดยูริกกระตุ้นระบบนี้ ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและเกิดการหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
นอกจากนี้โรคเกาต์และโรคหัวใจ ยังมีปัจจัยเสี่ยงร่วมกันหลายประการ ซึ่งเป็นกลไกทางอ้อมที่เชื่อมโยงทั้งสองโรคให้เอื้อต่อกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ป่วยเกาต์มักมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ภาวะอ้วนลงพุง ไขมันที่สะสมบริเวณช่องท้องหลั่งสารอักเสบและฮอร์โมนที่ส่งผลเสียต่อทั้งระดับกรดยูริกและสุขภาพหัวใจ
- ไขมันในเลือดผิดปกติ ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงและ HDL ต่ำพบได้บ่อยทั้งในผู้ป่วยเกาต์และโรคหัวใจ
- ความดันโลหิตสูง กรดยูริกสูงสัมพันธ์กับความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงโดยตรงของโรคหัวใจ
และเผื่อตอกย้ำความเชื่อมโยงของสองโรคนี้เพิ่มเติม เราได้รวบรวมการศึกษาขนาดใหญ่จากวารสาร New England Journal of Medicine ที่ได้ติดตามผู้ป่วยกว่า 200,000 คนเป็นเวลา 15 ปี พบว่าทุกๆ การเพิ่มขึ้นของระดับกรดยูริก 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจขึ้น 12% เลยทีเดียวโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุระหว่าง 50 – 65 ปี
นอกจากนี้การศึกษาในประเทศไทยโดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตามผู้ป่วยเกาต์ในวัยทอง 1,200 คน เป็นเวลา 8 ปี พบว่าผู้ป่วยที่มีประวัติเกาต์มานานกว่า 5 ปีและไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอถึง 3.2 เท่า
อาการและสัญญาณเตือนของโรคเกาต์ที่วัยทองไม่ควรมองข้าม
โรคเกาต์มักถูกเข้าใจผิดว่ามีเพียงอาการปวดข้อเท้าเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โรคนี้มีอาการและสัญญาณเตือนที่หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทองที่อาการมักมีความซับซ้อนและแตกต่างจากวัยอื่น ลองมาดูอาการของโรคเกาต์กัน ว่าคุณผู้อ่านเคยมีลักษณะแบบนี้ไหม?
- อาการปวดข้ออย่างรุนแรงและเฉียบพลัน ผู้ป่วยมัก0tตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยความรู้สึกเหมือนมีไฟลนหรือมีเข็มแทงที่ข้อ โดยเฉพาะข้อนิ้วโป้งเท้าซึ่งพบได้บ่อยที่สุด (มากกว่า 50% ของผู้ป่วย)
- อาการบวม แดง ร้อน และกดเจ็บ ข้อที่ได้รับผลกระทบจะมีอาการอักเสบชัดเจน บางครั้งเพียงแค่ผ้าห่มสัมผัสก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
- อาการกำเริบมักเกิดในเวลากลางคืนหรือเช้ามืด อาการมักเริ่มต้นในช่วงเวลานี้ เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายที่ต่ำลงทำให้ผลึกกรดยูริกตกตะกอนได้ง่ายขึ้น
- อาการลุกลามและรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการปวดมักรุนแรงที่สุดภายใน 12 – 24 ชั่วโมงแรก
- อาการดีขึ้นและหายไปได้เองภายใน 7-14 วัน แม้ไม่ได้รับการรักษา อาการกำเริบจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเอง ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าโรคหายแล้ว
แล้วหากคุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองและเป็นโรคเกาต์โดยไม่รู้ตัวอีก จะว่าบอกว่าอาการในกลุ่มนี้จะยิ่งดูยากขึ้นไปอีก เพราะมีอาการที่แตกต่างและเพิ่มเติมจากกลุ่มอายุอื่นๆ ที่เป็นโรคเกาต์อีกด้วย โดยวัยทองที่เป็นโรคเกาต์มักจะมี…
- อาการปวดข้อหลายตำแหน่งพร้อมกัน ในขณะที่ผู้ป่วยอายุน้อยมักมีอาการเฉพาะที่ข้อเดียว ผู้ป่วยวัยทองมักมีอาการที่ข้อหลายแห่งพร้อมกัน โดยเฉพาะข้อมือ ข้อเข่า และข้อนิ้วมือ ทำให้อาจสับสนกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- อาการไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง ในวัยทองอาการอาจไม่รุนแรงเฉียบพลันเหมือนคนอายุน้อย แต่เป็นอาการปวดตื้อๆ เรื้อรัง ทำให้บางครั้งถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคข้อเสื่อม
- การอักเสบที่ไม่ชัดเจน อาการบวม แดง อาจไม่ชัดเจนในวัยทอง เนื่องจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามวัย
- อาการทางระบบที่พบร่วม ผู้ป่วยวัยทองอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้สับสนกับการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง
- ก้อนโทฟัส พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคเกาต์มานาน มักปรากฏเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนังบริเวณใบหู นิ้ว ข้อศอก หรือส้นเท้า
สัญญาณเตือนของโรคเกาต์ที่มักถูกมองข้าม
นอกจากอาการที่ชัดเจนทางข้อด้านบนแล้ว ยังมีสัญญาณเตือนอื่นๆ ที่วัยทองอาจจะมองข้ามอาการเหล่านี้ไป แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นตัวบ่งชี้ของโรคเกาต์ในวัยทองได้เลยทีเดียว
- ความผิดปกติของปัสสาวะ การมีปัสสาวะสีเข้ม ปริมาณน้อย หรือการปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืนอาจเป็นสัญญาณของระดับกรดยูริกสูงหรือภาวะแทรกซ้อนทางไต
- ความเหนื่อยล้าผิดปกติ ผู้ป่วยเกาต์มักรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการปวดข้อกำเริบ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังทั่วร่างกาย
- การนอนหลับผิดปกติ การนอนไม่หลับ นอนหลับๆ ตื่นๆ หรือการนอนกรนรุนแรงอาจเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์และภาวะกรดยูริกสูง
- แผลหายช้า ระดับกรดยูริกสูงส่งผลต่อการหายของบาดแผล ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ
- อาการทางผิวหนัง ผิวหนังแห้ง คัน หรือมีผื่นผิดปกติ อาจเป็นผลจากการที่ร่างกายพยายามขับกรดยูริกออกทางผิวหนัง
เชื่อว่าคุณผู้อ่านน่าจะรู้จักและสังเกตอาการของโรคเกาต์อย่างถูกต้องโดยเฉพาะในวัยทอง เนื่องจากอาการที่แตกต่างและซับซ้อนอาจทำให้การวินิจฉัยล่าช้า ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด
ลองไปดูอาการและสัญญาเตือนของโรคหัวใจในวัยทองที่เป็นโรคเกาต์กัน…
อาการและสัญญาณเตือนของโรคหัวใจในกลุ่มเสี่ยงโรคเกาต์
ลองมาทำความรู้จักสัญญาณเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต สำหรับผู้ที่มีโรคเกาต์ การเฝ้าระวังอาการของโรคหัวใจควรได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจแสดงออกแตกต่างจากคนทั่วไปหรือบางครั้งอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์เองได้ด้วย
1. อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
อาการเจ็บหน้าอก เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุดของโรคหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยเกาต์ อาการมักมีลักษณะเป็นความรู้สึกแน่น กดทับ หรือบีบรัดบริเวณหน้าอกกลาง อาการอาจร้าวไปที่แขนซ้าย คอ ขากรรไกร หรือหลัง โดยมีข้อสังเกตที่สำคัญ คือ อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจมักเกิดขึ้นหรือรุนแรงขึ้นเมื่อมีการออกแรงหรือเกิดความเครียด และทุเลาลงเมื่อพัก
สำหรับผู้ป่วยเกาต์บางครั้งอาจสับสนระหว่างอาการปวดจากโรคหัวใจกับอาการปวดข้อจากโรคเกาต์ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการปวดที่แขนหรือมือ
2. หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยผิดปกติ
อาการหายใจลำบาก หรือ เหนื่อยง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมที่เคยทำได้โดยไม่มีปัญหา นี่เป็นสัญญาณที่กำลังบอกคุณผู้อ่านถึงการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจ ผู้ป่วยเกาต์อาจพบว่าตนเองเหนื่อยง่ายขึ้น แม้แต่การเดินในระยะสั้นๆ หรือการขึ้นบันได อาการนี้เกิดจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ
3. ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อาการใจสั่น หรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง เต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะ เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยเกาต์มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
โดยคุณผู้อ่านควรสังเกตุอาการใจสั่นที่ควรระวัง คือ อาการที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือหายใจลำบาก
4. บวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขา ข้อเท้า และเท้า
อาการบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขา ข้อเท้า และเท้า เป็นอาการที่พบได้บ่อยในภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีการคั่งของเลือดและของเหลวในร่างกาย สำหรับผู้ป่วยเกาต์ อาการบวมอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคเกาต์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดที่ข้อเท้าหรือเท้า
โดยอยากให้คุณผู้อ่านสังเกตอาการบวมมากขึ้น เพราะโรคหัวใจมักเกิดทั้งสองข้างของร่างกาย และมักแย่ลงในช่วงเย็นหรือหลังจากนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน อาการจะดีขึ้นเมื่อนอนยกขาสูง ในขณะที่อาการบวมจากโรคเกาต์มักเกิดเฉพาะที่บริเวณข้อที่มีการอักเสบและมักมีอาการแดง ร้อน และเจ็บปวดร่วมด้วย
5. อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าผิดปกติ
ความรู้สึกอ่อนเพลีย หรือเหนื่อยล้าที่ไม่สามารถอธิบายได้และไม่ดีขึ้น แม้จะได้พักผ่อนเพียงพอ อาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจ อาการนี้เกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียแม้ในขณะพัก
แม่ว่าผู้ป่วยเกาต์จะประสบกับความอ่อนเพลียจากการอักเสบเรื้อรังและความเจ็บปวด ดังนั้น คุณผู้อ่านจึงควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของระดับความเหนื่อยล้า โดยเฉพาะอาการที่แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญและไม่สัมพันธ์กับการกำเริบของโรคเกาต์
6. เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม
อาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือรู้สึกจะเป็นลม โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาการไหลเวียนเลือด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจหรือความดันโลหิตที่ไม่คงที่ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดยังอาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้
7. เหงื่อออกผิดปกติ โดยเฉพาะในขณะพัก
การมีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยไม่ได้ออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ร้อน โดยเฉพาะเหงื่อเย็น อาจเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ในผู้ป่วยเกาต์ อาการนี้อาจถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคอื่น
เหงื่อออกผิดปกติที่ควรให้ความสนใจคือ เหงื่อที่ออกในขณะพัก โดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือคลื่นไส้
8. นอนราบไม่ได้ หรือตื่นกลางดึกเพราะหายใจไม่ออก
อาการไม่สามารถนอนราบได้ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกหายใจไม่ออกหรือเหมือนจะสำลัก เป็นอาการที่พบได้ในภาวะหัวใจล้มเหลว เกิดจากการที่ของเหลวคั่งในปอดเมื่อนอนราบ ทำให้รู้สึกหายใจลำบาก
โดยอาการนี้อาจจะหายไป เมื่อคุณผู้อ่านต้องใช้หมอนหนุนสูงขึ้นเพื่อให้นอนได้สบายขึ้น หรือบางครั้งต้องลุกขึ้นนั่งเพื่อให้หายใจได้สะดวก อาการนี้มักแย่ลงในเวลากลางคืนหรือหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ นี่อาจบ่งบอกถึงอาการโรคหัวใจได้
การที่ “โรคเกาต์” และ “โรคหัวใจ” มีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนในกลุ่มวัยทอง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ส่งผลต่อการเกิดโรคทั้งสอง และหนึ่งในนั้น ก็คือ ปัจจัยทางพันธุกรรม เพราะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงต่อการเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงวัยทอง โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 2 – 4 เท่า เช่นเดียวกับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 2 – 3 เท่า
ลองมาดูกันเพิ่มเติมว่า… นอกจากพันธุกรรมที่กล่าวแล้ว ยังมีภาวะหรือโรคอื่นๆ ใดบ้าง ที่เมื่อเป็นแล้ว สามารถทำให้วัยทองเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจได้ในพร้อมกัน สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นการย้ำ แต่คือการให้คุณผู้อ่านได้ศึกษามากยิ่งขึ้น
1. ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน
ภาวะอ้วน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่ส่งผลให้เกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจโดยเฉพาะในกลุ่มวัยทอง จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 30 มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์สูงกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติถึง 3 เท่า ในขณะเดียวกันภาวะอ้วนยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 2.5 เท่า ซึ่งฮอร์โมนในร่างกายจากการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยทองทำให้วัยทองนั้นอ้วนขึ้นและการเกิดสะสมของไขมัน 12:11/67
ไขมันที่สะสมในร่างกาย โดยเฉพาะไขมันในช่องท้องจะหลั่งสารอักเสบและฮอร์โมนที่รบกวนการทำงานของเมตาบอลิซึม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของทั้งสองโรค และน้ำหนักที่มากเกินไปยังเพิ่มแรงกดทับบนข้อต่างๆ ทำให้อาการของโรคเกาต์รุนแรงขึ้น และยังเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะยาว
2. โรคเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นสภาวะที่พบได้บ่อยในวัยทอง และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ ในภาวะดื้อต่ออินซูลิน…ร่างกายจะมีการเพิ่มการสร้างอินซูลินเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอินซูลินที่สูงขึ้นนี้จะไปลดการขับกรดยูริกออกทางไต ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น
นอกจากนี้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ยังทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
3. ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยในวัยทอง และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ จากการศึกษาในประเทศไทยพบว่า กลุ่มผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีอัตราการเกิดโรคเกาต์สูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 40%
ความสัมพันธ์ระหว่างความดันโลหิตสูงและโรคเกาต์เป็นความสัมพันธ์แบบสองทาง คือ ความดันโลหิตสูงส่งผลให้การขับกรดยูริกผ่านไตลดลง ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ระดับกรดยูริกที่สูงก็สามารถกระตุ้นให้เกิดความดันโลหิตสูงผ่านการรบกวนการทำงานของเซลล์บุผนังหลอดเลือดและการกระตุ้นระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน
ยิ่งไปกว่านั้น ยาขับปัสสาวะบางชนิดที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง เช่น Thiazide Diuretics และ Loop Diuretics สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด เนื่องจากยาเหล่านี้ลดการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
4. ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โดยเฉพาะระดับไตรกลีเซอไรด์สูงและระดับ HDL (ไขมันดี) ต่ำ เป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมที่สำคัญของทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยกลไกที่เชื่อมโยงระหว่างไขมันในเลือดผิดปกติกับโรคเกาต์เกี่ยวข้องกับการที่ไตมีการแย่งกันขับไตรกลีเซอไรด์และกรดยูริก ทำให้การขับกรดยูริกลดลง
นอกจากนี้ภาวะไขมันในเลือดสูงยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง เนื่องจากไขมัน LDL (ไขมันไม่ดี) ที่สูงจะไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบตัน ซึ่งหากวัยทองท่านใดต้องการปรับเปลี่ยนไปรับประทานผลไม้มากขึ้น ก็ควรทานอย่างพอดี เพราะภาวะไขมันในเลือดสูง ก็มีผลไม้ที่ห้ามทานเช่นกัน 03:03/68
5. ภาวะอักเสบเรื้อรัง
ภาวะอักเสบเรื้อรัง เป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทอง การสะสมของผลึกกรดยูริกในข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ กระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการปวดข้อเฉียบพลัน
สารสื่อการอักเสบที่หลั่งออกมา เช่น IL-1β, IL-6 และ TNF-α ไม่เพียงทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่ แต่ยังส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย รวมถึงระบบหัวใจและหลอดเลือด การอักเสบเรื้อรังจะเร่งกระบวนการเกิดหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) โดยการทำลายเซลล์บุผนังหลอดเลือด เพิ่มการจับตัวของเกล็ดเลือด และส่งเสริมการสะสมของไขมัน LDL ในผนังหลอดเลือด
6. พฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม
รูปแบบการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ก็มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงในการเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทอง การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เมล็ดพืชบางประเภท รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์และเหล้า สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น เครื่องดื่มรสหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน และอาหารขยะต่างๆ มีส่วนสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ อีกทั้งน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่มรสหวานยังเพิ่มการสร้างกรดยูริกในร่างกายอีกด้วย
7.การขาดการออกกำลังกายและภาวะเนือยนิ่ง
การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอและการใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจในกลุ่มวัยทอง การขาดการออกกำลังกายส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกายลดลง นำไปสู่การสะสมของไขมันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้…การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ลดระดับไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต และช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์และโรคหัวใจไปพร้อมๆ กัน
8.ความเครียดและปัจจัยทางจิตใจ
ความเครียดและปัจจัยทางจิตใจ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มักถูกมองข้าม 06:04/68 แต่มีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทองซึ่งเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับความเครียดจากหลายแหล่ง ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และการเตรียมตัวเข้าสู่วัยสูงอายุความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล และอะดรีนาลีน ในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น และกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย
นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลให้พฤติกรรมสุขภาพแย่ลง เช่น การรับประทานอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ การดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น การสูบบุหรี่ และการออกกำลังกายน้อยลง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ
9. การสูบบุหรี่และการได้รับควันบุหรี่มือสอง
การสูบบุหรี่และการได้รับควันบุหรี่มือสอง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังมีผลต่อการเกิดโรคเกาต์อีกด้วย สารพิษในบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย รบกวนการทำงานของเซลล์บุผนังหลอดเลือด และเร่งกระบวนการเกิดหลอดเลือดแข็ง
นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังส่งผลให้เกิดภาวะออกซิเดชันเครียดในร่างกาย ซึ่งทำให้ระดับกรดยูริกสูงขึ้นและเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ต่างๆ รวมถึงเซลล์บุผนังหลอดเลือดด้วย ซึ่งนี่ยังอาจเชื่อมโยงไปยังโรคปอดจากการสูบบุหรี่ของวัยทองได้อีกด้วย 14:02/68
10. การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมที่สำคัญของทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทอง “แอลกอฮอล์” โดยเฉพาะเบียร์และเหล้า มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด เนื่องจากมีพิวรีนสูงและยังรบกวนการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย
นอกจากนี้…การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และทำลายกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง ซึ่งหากวัยทองเลิกได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตมากยิ่งขึ้น
11. การนอนหลับไม่เพียงพอและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การนอนหลับไม่เพียงพอและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลอย่างมากต่อการเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทองที่มักมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ 04:10/67
การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้มีความอยากอาหารมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มและเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน นอกจากนี้การอดนอนยังเพิ่มการอักเสบในร่างกายและทำให้ระดับคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มระดับกรดยูริกและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
สำหรับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีภาวะอ้วน จะทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลงเป็นช่วงๆ ขณะหลับส่งผลให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชันและการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยมีการศึกษาจาก American Academy of Sleep Medicine พบว่าผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์สูงกว่า 2 เท่า
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรคเกาต์และโรคหัวใจ
อย่างที่คุณผู้อ่านทราบกันเป็นอย่างดีว่า “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญของร่างกาย ซึ่งนำมาสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทั้งต่อโรคเกาต์และโรคหัวใจ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการของโรคเกาต์ที่เป็นอยู่ แต่ยังสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาของสมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมรูมาติซั่มแห่งประเทศไทย พบว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้ป่วยเกาต์ได้ถึง 40%
แล้วการปรับเปลี่ยนที่ว่ามีอะไรบ้าง? เรามาลองหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
- การควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงร่วมที่สำคัญทั้งของโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมบริเวณช่องท้อง ซึ่งเป็นไขมันอันตรายที่เพิ่มการอักเสบทั่วร่างกาย และรบกวนการทำงานของเมตาบอลิซึม สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองการลดน้ำหนักควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน เนื่องจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดการสลายของเซลล์ไขมัน ซึ่งจะปลดปล่อยกรดยูริกออกมามากขึ้นและอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเกาต์กำเริบได้
เป้าหมายและวิธีการควบคุมน้ำหนักสำหรับวัยทอง
- ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ ลดน้ำหนัก 0.5 – 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ จนกระทั่งถึงค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่เหมาะสม
- เน้นการลดแคลอรี่อย่างสมดุล ลดปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคประมาณ 500 – 750 แคลอรี่ต่อวัน โดยยังคงได้รับสารอาหารครบถ้วน
- ใช้เทคนิคการรับประทานอาหารแบบมีสติ ฝึกรับประทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และรับรู้ถึงความอิ่มของร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการอดอาหาร การอดอาหารหรือลดน้ำหนักแบบหักโหมอาจทำให้เกิดภาวะคีโตซิส ซึ่งสามารถเพิ่มระดับกรดยูริกและกระตุ้นอาการเกาต์ได้
- ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง บันทึกน้ำหนัก เส้นรอบเอว และความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับแผนการควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม
- การปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อควบคุมทั้งเกาต์และโรคหัวใจ
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ แม้ว่าจะมีความแตกต่างในคำแนะนำการรับประทานอาหารสำหรับโรคทั้งสอง แต่โดยรวมแล้วมีหลักการที่สอดคล้องกันหลายประการ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยเกาต์และผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจ
- อาหารที่มีพิวรีนสูง เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต ต่อมต่างๆ), สัตว์ทะเลบางชนิด (หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ปลาแอนโชวี่), เนื้อสัตว์แดงในปริมาณมาก, น้ำต้มกระดูกเข้มข้น
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ซึ่งมีทั้งแอลกอฮอล์และพิวรีนสูง แอลกอฮอล์ยังรบกวนการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
- น้ำตาลฟรุกโตส พบในน้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม และขนมหวานต่างๆ ซึ่งเพิ่มการผลิตกรดยูริกและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูป มักมีโซเดียมสูง ไขมันทรานส์ และสารปรุงแต่งที่ส่งผลเสียต่อทั้งระดับกรดยูริกและสุขภาพหัวใจ
- ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ พบในเนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์นม อาหารทอด และขนมอบ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของทั้งสองโรค
อาหารที่ควรรับประทานเพื่อป้องกันโรคเกาต์และโรคหัวใจ
- ผักใบเขียวและผักหลากสี อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบและป้องกันทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ
- ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม กีวี สตรอเบอร์รี่ ช่วยลดระดับกรดยูริกและป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ยกเว้นผลไม้ที่หวานจัดควรรับประทานในปริมาณจำกัด
- โปรตีนจากพืช ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเหลือง เต้าหู้ ธัญพืชไม่ขัดสี เป็นแหล่งโปรตีนที่มีพิวรีนต่ำกว่าเนื้อสัตว์และดีต่อสุขภาพหัวใจ
- ไขมันดี (Omega-3) พบในปลาทะเลน้ำลึก (ปลาแซลมอน ปลาทูน่า) น้ำมันมะกอก ถั่วและเมล็ดพืช ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคหัวใจ
- อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง กล้วย มันฝรั่งอบ อโวคาโด ผักใบเขียว ช่วยสมดุลโซเดียมและลดความดันโลหิต
- น้ำดื่มสะอาด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 – 3 ลิตร ช่วยในการขับกรดยูริกและรักษาสมดุลของระบบไหลเวียนเลือด
เคล็ดลับการรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยเกาต์วัยทอง
- ทยอยรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ การรับประทานอาหารมื้อใหญ่ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มสูงขึ้นทันที การแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5 – 6 มื้อต่อวันช่วยรักษาระดับกรดยูริกให้คงที่
- รับประทานผลไม้แทนของหวาน หากคุณหิวของหวาน ให้เลือกผลไม้ที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น แอปเปิ้ล แพร์ เบอร์รี่ และส้ม แทนขนมหวานที่มีน้ำตาลสูง
- ลดการปรุงรสด้วยเกลือ ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศแทนเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติอาหาร เช่น โหระพา กระเพรา ขิง ข่า ตะไคร้ พริกไทย อบเชย ยี่หร่า
และเผื่อให้คุณผู้อ่านได้ดูแลสุขภาพของตนเองมากยิ่งขึ้น ดูแลตนเองง่ายๆ เพียงรับประทานวันละ 1 เม็ด หลังอาหารมื้อที่สะดวกทุกวัน เพียงทำเท่านี้คุณก็เหมือนได้ดูแลสุขภาพ X2 แต่จะกินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะคุณผู้อ่าน เพราะผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังพูดถึงนี้ได้ผ่านการรับรองและได้รับเลขจาก อย. อย่างถูกต้อง รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ผ่านมาตรฐานจากฮาลาลอีกด้วย และนั่น คือ…
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ทางเลือกเพื่อสุขภาพองค์รวมสำหรับคุณผู้หญิงวัยทองที่มีความเสี่ยงโรคเกาต์และโรคหัวใจ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ที่อยู่ในวัยทอง โดยรวบรวมสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่มีคุณสมบัติเสริมการทำงานซึ่งกันและกัน เพื่อช่วยดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยมุ่งเน้นทั้งการบรรเทาอาการของวัยทองและการลดความเสี่ยงของโรคเกาต์และโรคหัวใจไปพร้อมกัน
- 1. สารสกัดจากถั่วเหลือง
ไอโซฟลาโวนในถั่วเหลือง ช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในวัยทอง เพราะการลดลงของฮอร์โมนนี้ มีส่วนทำให้การกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
- 2. สารสกัดจากตังกุย
ตังกุย มีสารออกฤทธิ์หลายชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ต้านการอักเสบ และช่วยการไหลเวียนของเลือด การเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่ดีช่วยในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยลดการสะสมของกรดยูริกในบริเวณปลายประสาทซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดในผู้ป่วยเกาต์
- 3. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย มีคุณสมบัติเด่นในการเพิ่มการไหลเวียนเลือดและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย งานวิจัยพบว่าแปะก๊วยสามารถช่วยปกป้องไตจากความเสียหายที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริก นอกจากนี้ ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการลดความเสี่ยงโรคหัวใจที่มักพบร่วมกับผู้ป่วยเกาต์
- 4. สารสกัดจากงาดำ
มีงานวิจัยแสดงว่างาดำสามารถช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้ นอกจากนี้งาดำยังช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่พบบ่อยในผู้ป่วยเกาต์
- 5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอลสูง ซึ่งช่วยลดการอักเสบและมีคุณสมบัติในการปรับสภาพความเป็นกรดของปัสสาวะ ทำให้กรดยูริกละลายได้ดีขึ้น และลดโอกาสการตกผลึกของกรดยูริกทั้งในไตและข้อต่อ
- 6. อินูลิน พรีไบโอติก
อินูลิน เป็นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำซึ่งช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ การมีสุขภาพลำไส้ที่ดีช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกาย และมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมระดับกรดยูริกและลดความเสี่ยงของกลุ่มอาการเมตาบอลิก ที่มักพบร่วมกับโรคเกาต์และเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ส่วนคุณผู้ชายวัยทองก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะว่าเรามี ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ทางเลือกเพื่อสุขภาพในวัยทองที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคเกาต์และโรคหัวใจ เช่นกัน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยการผสมผสานสารสกัดจากธรรมชาติ 7ชนิด ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของผู้ที่อยู่ในวัยทอง ลดความเสี่ยงต่อโรคเกาต์และโรคหัวใจ โดยในแต่ละแคปซูลมีการรวมส่วนประกอบสำคัญที่ทำงานเสริมซึ่งกันและกันอย่างลงตัวไม่แพ้กัน คือ
- 1. สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลี มีสารสำคัญกลุ่มจินเซโนไซด์ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากโสมเกาหลีสามารถช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้ถึง 15 – 20% โดยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไตในการขับกรดยูริกออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
การที่วัยทองมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก โดยเฉพาะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายที่ลดลง และฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน สารสกัดโสมเกาหลีสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้การกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 2. สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก สมุนไพรที่มีสารประกอบกลุ่มซาโปนินและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับสมดุลของเมตาบอลิซึม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์และภาวะกรดยูริกสูง
- 3. แอล อาร์จีนีน
แอล อาร์จีนีนเป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ในกรณีของผู้ป่วยเกาต์วัยทอง การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นช่วยให้การกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยลดการอักเสบเรื้อรังที่เป็นสาเหตุของความเสื่อมของหลอดเลือด
นอกจากนี้ แอล อาร์จีนีนยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายวัยทอง ซึ่งมักมีปัญหาในเรื่องนี้อันเนื่องมาจากระดับฮอร์โมนที่ลดลงและโรคเรื้อรังต่างๆ
- 4. สารสกัดกระชายดำ
กระชายดำเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สารสกัดจากกระชายดำมีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์แซนทีนออกซิเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการสร้างกรดยูริก การยับยั้งเอนไซม์นี้ช่วยลดการผลิตกรดยูริกในร่างกาย หลักการนี้คล้ายกับยารักษาโรคเกาต์อย่างอัลลอพูรินอล แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
นอกจากนี้สารสกัดกระชายดำยังมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- 5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์ เป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทในการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย รวมถึงเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมของพิวรีนและการกำจัดกรดยูริก การศึกษาทางคลินิกพบว่า ผู้ป่วยเกาต์มักมีระดับซิงค์ในร่างกายต่ำกว่าปกติ และการเสริมซิงค์สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการกำเริบของโรคเกาต์ได้
ในรูปแบบของซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท ซึ่งเป็นรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าซิงค์ทั่วไป ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องเซลล์ต่างๆ จากการทำลายของอนุมูลอิสระและการอักเสบ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ
นอกจากนี้ ซิงค์ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ชายวัยทองที่มีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง การมีระดับฮอร์โมนที่สมดุลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกาย
- 6. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติในการปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดและปกป้องเซลล์ประสาท สำหรับผู้ป่วยเกาต์วัยทอง สารสกัดแปะก๊วยช่วยลดการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของผลึกกรดยูริก และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่มีการอักเสบ ทำให้ลดอาการปวดและการอักเสบได้ดีขึ้น
- 7. สารสกัดจากงาดำ
สารเซซามินในงาดำยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและช่วยปกป้องตับ ทำให้ตับสามารถทำหน้าที่ในการเมตาบอไลซ์ของเสียและสารพิษได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดการกับกรดยูริกด้วย นอกจากนี้ งาดำยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในผู้ป่วยเกาต์วัยทอง
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ถือเป็นอกนหนึ่งทางเลือกจากธรรมชาติในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงหรือกำลังเผชิญกับโรคเกาต์ ด้วยส่วนประกอบที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการของวัยทอง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกาต์และโรคหัวใจซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
เมื่อใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ตัวจากดีเน่ DNAe จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ช่วยให้คุณผู้อ่านก้าวผ่านวัยทองได้อย่างมั่นใจและมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากภัยเงียบของโรคเกาต์และโรคหัวใจที่อาจคุกคามคุณภาพชีวิตในระยะยาว
- การดื่มน้ำและของเหลวอย่างเหมาะสม
การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเกาต์และผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจโดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทอง เพราะมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำน้อยกว่า 1.5 ลิตรต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเกาต์กำเริบถึง 2.4 เท่า เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำมากกว่า 2.5 ลิตรต่อวันเลยทีเดียว
ประโยชน์ของการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
- เพิ่มการขับกรดยูริกทางไต น้ำช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการกรองและขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
- ป้องกันการตกผลึกของกรดยูริก การมีปริมาณน้ำเพียงพอช่วยเจือจางกรดยูริกในปัสสาวะ ลดโอกาสการตกผลึกและการเกิดนิ่ว
- รักษาความหนืดของเลือดให้เหมาะสม ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดและโรคหัวใจ
- รักษาสมดุลของความดันโลหิต การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ร่างกายควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยทองและโรคเกาต์
การออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ แต่ต้องเลือกรูปแบบและความหนักที่เหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองและมีอาการของโรคเกาต์ คือ
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดปัจจัยเสี่ยงร่วมของทั้งสองโรค
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไต ช่วยในการกำจัดกรดยูริกได้ดีขึ้น
- ลดการอักเสบทั่วร่างกาย ลดการอักเสบเรื้อรังซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ
- ปรับปรุงสุขภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ปรับปรุงการไหลเวียนเลือด และลดความดันโลหิต
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด: ลดปัจจัยเสี่ยงของกลุ่มอาการเมตาบอลิก
และการออกกำลังที่สำคัญต่อวัยทองไม่ใช่เพียงแค่การต้องออกกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจร่างกายของตนเองว่าเหมาะกับการออกกำลังกายในลักษณใด โดยเราอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรเริ่มจากความหนักเบา และค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาและความหนัก ซึ่งอาจจะเริ่มต้นจากการออกกำลังกายในน้ำ เนื่องจากเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยเกาต์ เนื่องจากช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อ และยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับระบบหัวใจและหลอดเลือด หรือหากไม่สะดวกเราก็ขอแนะนำเป็น
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิกความหนักปานกลาง เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (ประมาณ 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์)
- เสริมด้วยการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนักเบาๆ หรือการใช้แรงต้านของร่างกาย 2 – 3 วันต่อสัปดาห์
- เพิ่มการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ โดยทำทุกวันหรืออย่างน้อย 2 – 3 วันต่อสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง หลีกเลี่ยงการวิ่ง กระโดด หรือกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการเกาต์กำเริบ
- ปรับการออกกำลังกายตามสภาพร่างกาย หากมีอาการปวดข้อหรืออาการเกาต์กำเริบ ควรลดความหนักหรือหยุดพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น
- การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
ความเครียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ เพราะสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย เพิ่มความดันโลหิต และส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการเกาต์กำเริบและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
โดยคุณผู้อ่านวัยทอง อาจจะเริ่มต้นการผ่อนคลายผ่านการฝึกสติ การอยู่กับการหายใจอย่างมีสติ เพราะสามารถช่วยลดความเครียดและการอักเสบในร่างกาย สามารถทำได้ง่าย 10 – 15 นาทีต่อวัน หรืออาจจะผ่านวิธีการออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลาย เช่น การเล่นโยคะ ตลอดจนการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดความเครียดของร่างกายได้
- การเลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลเสียต่อทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี
- การติดตามสุขภาพและการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
การติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่องและการพบแพทย์ตามนัด เป็นส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับผู้ป่วยเกาต์และผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจ การตรวจสุขภาพเป็นประจำช่วยในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และจัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น
- การตรวจระดับกรดยูริกในเลือด ผู้ป่วยเกาต์ควรตรวจวัดระดับกรดยูริกอย่างน้อยทุก 3-6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม (น้อยกว่า 6 mg/dL)
- การตรวจการทำงานของไต ตรวจวัดระดับครีเอตินินในเลือดและอัตราการกรองของไต (eGFR) เนื่องจากทั้งโรคเกาต์และโรคหัวใจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต
- การตรวจระดับไขมันในเลือด ตรวจระดับคอเลสเตอรอลรวม, LDL, HDL และไตรกลีเซอไรด์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจระดับน้ำตาลและ HbA1c เพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคร่วมที่พบบ่อยในผู้ป่วยเกาต์และผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจ
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG/ECG) ตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจหรือมีปัจจัยเสี่ยงสูง
การติดตามสุขภาพด้วยตนเอง
- การวัดความดันโลหิต ควรวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ โดยเป้าหมายคือต่ำกว่า 130/80 mmHg สำหรับผู้ป่วยเกาต์และผู้มีความเสี่ยงโรคหัวใจ
- การชั่งน้ำหนัก ติดตามน้ำหนักตัวสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง ในเวลาเดียวกันและสภาวะเดียวกัน เพื่อประเมินความก้าวหน้าในการควบคุมน้ำหนัก
- การบันทึกอาการผิดปกติ จดบันทึกอาการปวดข้อ อาการบวม หรืออาการผิดปกติอื่นๆ เพื่อรายงานแพทย์ในการตรวจครั้งต่อไป
- การติดตามปัจจัยกระตุ้น วัยทองควรสังเกตและบันทึกปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการเกาต์กำเริบ เช่น อาหาร ความเครียด หรือการออกกำลังกายที่หักโหม
สรุป
สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากการแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา แต่เกิดจากการป้องกันและการดูแลอย่างต่อเนื่อง การสร้างวิถีชีวิตที่สมดุลผ่านการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว
การป้องกันและควบคุมโรคเกาต์และโรคหัวใจผ่านการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับสุขภาพในระยะยาวโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ การเลิกพฤติกรรมเสี่ยง และการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีพลัง และมีความสุขในทุกช่วงวัย
เริ่มต้นวันนี้ก้าวไปทีละขึ้น ก้าวทุกครั้งเรื่องสุขภาพ นึกถึงดีเน่ DNAe…