หากคุณผู้อ่านอยู่ในช่วง “วัยทอง” 08:10/67 คุณกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของชีวิตที่ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของไต อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย แต่น้อยคนนักที่จะตระหนักว่า อาหารรสชาติอร่อยที่เรารับประทานเป็นประจำอาจกำลังทำร้ายไตของเราอย่างเงียบๆ ผ่านสารที่เรียกว่า “โซเดียม”
จากผลการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2567 พบว่า คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยถึง 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึง 2 เท่า โดยกลุ่มวัยทองเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาไตเสื่อมจากการบริโภคโซเดียมมากเกินไป อาหารไทยที่เรารักและคุ้นเคย ทั้งแกงเผ็ด ต้มยำ ผัดกระเพรา ส้มตำ หรือแม้แต่เครื่องปรุงรสอย่างน้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม ล้วนเป็นแหล่งโซเดียมที่แฝงมากับความอร่อย นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรังที่กำลังคุกคามสุขภาพของคนไทยวัยทองอย่างน่าเป็นห่วง
การดูแลไตให้แข็งแรงไม่ใช่เพียงแค่การรักษาหลังจากเกิดปัญหาแล้ว แต่เป็นการป้องกันตั้งแต่วันนี้ เพราะเมื่อไตเสื่อม การรักษาจะยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ผลการศึกษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า การลดการบริโภคโซเดียมลงเพียง 30% สามารถลดความเสี่ยงของโรคไตเรื้อรังได้ถึง 20% ในกลุ่มวัยทอง
ทำไมวัยทองต้องระวังเรื่องโซเดียมเป็นพิเศษ?
ตามข้อมูลจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย การทำงานของไตจะเริ่มเสื่อมถอยลงตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังอายุ 40 ปี ไตจะสูญเสียหน่วยไตประมาณ 10% ทุก 10 ปี ทำให้ประสิทธิภาพในการกรองของเสียและขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายลดลง ส่งผลให้โซเดียมสะสมในร่างกายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้…วัยทองยังมีความเสี่ยงสูงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิดที่ส่งผลต่อการทำงานของไต เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งทำให้การบริโภคโซเดียมในปริมาณสูงยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก
สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมากกว่า 8 ล้านคน หรือคิดเป็น 17.6% ของประชากรทั้งประเทศ โดยกลุ่มวัยทอง (45-60 ปี) มีอัตราการเกิดโรคไตเรื้อรังสูงถึง 25% ของประชากรในช่วงวัยเดียวกัน และที่น่าตกใจคือ 80% ของผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าตนเองมีปัญหาไตจนกว่าจะเข้าสู่ระยะที่รุนแรง
- ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลให้ร่างกายมีความไวต่อโซเดียมมากขึ้น เกิดการกักเก็บน้ำและโซเดียมได้มากกว่าปกติ นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต
- ผู้ชายวัยทอง แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแบบฉับพลัน แต่ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ลดลงอย่างช้าๆ ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น การเพิ่มขึ้นของไขมันหน้าท้อง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคโซเดียมสูงส่งผลเสียต่อสุขภาพไตมากขึ้น
“โซเดียม” แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่…มากเกินไปนำไปสู่โรค
“โซเดียม” เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานที่เป็นปกติ โดยทำหน้าที่หลายประการที่สำคัญต่อชีวิต ได้แก่
- การควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย โซเดียมช่วยรักษาปริมาณของเหลวในร่างกายของวัยทองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ควบคุมความดันเลือดและปริมาตรของเลือด
- การนำส่งสัญญาณประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ โซเดียมมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทและช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้อย่างเหมาะสม
- การรักษาสมดุลกรด – ด่างในร่างกาย โซเดียมช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด-ด่างในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ
- การดูดซึมสารอาหาร โซเดียมช่วยในกระบวนการดูดซึมกลูโคส กรดอะมิโน และสารอาหารอื่นๆ ในลำไส้
แม้ว่าโซเดียมจะมีความสำคัญ แต่ร่างกายต้องการในปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับที่เรามักบริโภคในแต่ละวัน ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับเกลือประมาณ 5 กรัม (ประมาณ 1 ช้อนชา)
สำหรับกลุ่มวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคไตและความดันโลหิตสูง สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยแนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 3/4 ช้อนชาของเกลืิแต่ในความเป็นจริง คนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่แนะนำถึง 2 เท่า และในกลุ่มวัยทองที่ชื่นชอบอาหารรสจัด อาจบริโภคสูงถึง 5,000 – 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน
จะเป็นอย่างไร? หากร่างกายได้รับ “โซเดียม” มากเกินไป
ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและรักษาสมดุลของเกลือแร่ รวมถึงโซเดียมในร่างกาย เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป จะเกิดกระบวนการอักเสบในไตและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ระยะแรกอาจไม่มีอาการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ไตจะค่อยๆ เสื่อมลง จนถึงจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ และไตจะทำงานหนักขึ้นตามลำดับ คือ
- การเพิ่มอัตราการกรอง เมื่อโซเดียมในเลือดสูงขึ้น ไตจะพยายามเพิ่มอัตราการกรองเพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
- การเพิ่มความดันในหน่วยไต การกรองที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความดันในหน่วยไต (โกลเมอรูลัส) สูงขึ้น หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน จะทำให้หน่วยไตเสื่อมสภาพและเสียหาย
- การกักเก็บน้ำ โซเดียมดึงน้ำให้อยู่ในกระแสเลือดมากขึ้น ทำให้ปริมาตรเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด และความดันโลหิตสูงขึ้น
- การอักเสบและพังผืด การบริโภคโซเดียมสูงอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อไต และเมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดพังผืดทดแทนเนื้อเยื่อไตที่เสียหาย ทำให้การทำงานของไตลดลงอย่างถาวร
การบริโภคโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินไปส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อร่างกายของวัยทอง ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อไตเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบการทำงานอื่นๆ ของร่างกายที่มีความเชื่อมโยงกัน เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทองผลกระทบเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและการเสื่อมถอยของอวัยวะตามธรรมชาติ
ลองมาหาคำตอบพร้อมกันว่า จะมีอะไรบ้าง…
ความดันโลหิตสูง…ภัยคู่กายของโรคไต
ความดันโลหิตสูงและโรคไตมีความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “วงจรอุบาทว์” คือ ความดันโลหิตสูงทำให้ไตเสื่อม และไตเสื่อมก็ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในวัยทองความสัมพันธ์นี้ยิ่งเห็นได้ชัดเจน เมื่อร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมาก จะเกิดการดึงน้ำเข้ามาในกระแสเลือดเพื่อรักษาสมดุลความเข้มข้นของสารละลาย ทำให้ปริมาตรเลือดเพิ่มขึ้น หัวใจต้องสูบฉีดแรงขึ้น และส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ในวัยทองที่ผนังหลอดเลือดเริ่มมีความยืดหยุ่นลดลงตามธรรมชาติ ผลกระทบนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
โดยผลกระทบระยะยาวต่อไตและระบบไหลเวียนเลือด ความดันโลหิตที่สูงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้หลอดเลือดที่ไตตีบแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตได้น้อยลง ส่งผลให้ไตขาดเลือด เนื้อไตถูกทำลาย และการทำงานของไตลดลง ไตที่เสื่อมสภาพจะไม่สามารถกำจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีโซเดียมคั่งในร่างกายมากขึ้น และส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นไปอีก กลายเป็นวงจรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
หัวใจและหลอดเลือด…ระบบที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
โซเดียมส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดของวัยทอง 10:10/68 ซึ่งเป็นระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในวัยทอง เพราะการบริโภคโซเดียมสูงเป็นเวลานานจะกระตุ้นให้เกิดการหนาตัวของผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าเพื่อรองรับแรงดันเลือดที่สูงขึ้น การหนาตัวนี้ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น สิ้นเปลืองออกซิเจนมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะยาว
นอกจากนี้ โซเดียมยังมีผลโดยตรงต่อผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดการอักเสบและการแข็งตัวของหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ในวัยทองที่ผนังหลอดเลือดเริ่มมีการสะสมของคราบไขมัน การบริโภคโซเดียมสูงยิ่งเร่งให้เกิดความเสียหายต่อผนังหลอดเลือดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับความดันโลหิตสูง
ตลอดจนภาวะบวมน้ำและปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้น เพราะโซเดียมดึงน้ำเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ปริมาตรเลือดเพิ่มขึ้น ในวัยทองที่หัวใจเริ่มมีประสิทธิภาพลดลง การเพิ่มของปริมาตรเลือดทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่เดิม ภาวะบวมน้ำยังเป็นอาการที่พบบ่อยในวัยทองที่บริโภคโซเดียมสูง โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้าและขาส่วนล่าง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความไม่สบายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลและการติดเชื้อในผู้ที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย
มวลกระดูกและกล้ามเนื้อ ผลกระทบที่มักถูกมองข้าม
โซเดียมส่งผลโดยตรงต่อการขับแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะ เมื่อบริโภคโซเดียมสูง ไตจะขับแคลเซียมออกมาด้วย ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก ส่งผลให้มวลกระดูกลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
โดยอาหารที่มีโซเดียมสูงมักทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดเล็กน้อย ร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลกรดด่างโดยการสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อ ในวัยทองที่มีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ อยู่แล้ว ภาวะนี้ยิ่งเร่งให้เกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อมากขึ้น ระบบการทรงตัวและความเสี่ยงต่อการหกล้ม โซเดียมสูงที่นำไปสู่ความดันโลหิตไม่คงที่และการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ส่งผลต่อระบบการทรงตัว เมื่อรวมกับการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูก จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มในวัยทอง
สมองและระบบประสาท ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง
ระบบประสาทและสมองเป็นอีกระบบหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการบริโภคโซเดียมสูง โดยเฉพาะในวัยทองที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทตามธรรมชาติ การบริโภคโซเดียมสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองทั้งชนิดตีบตันและแตก ผ่านกลไกการเพิ่มความดันโลหิตและการทำลายผนังหลอดเลือด รวมถึงความเสื่อมของสมองและภาวะสมองเสื่อม มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคโซเดียมสูงกับความเสื่อมของสมองและความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะเมื่อมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย การบริโภคโซเดียมสูงยังส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ โดยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ เช่น เมลาโทนิน และทำให้ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน
นอกจากนี้โซเดียมสูงส่งผลกระทบต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างระบบประสาทซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติก ซึ่งควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ใจสั่น เหงื่อออกผิดปกติ หรือความดันโลหิตตกเมื่อลุกยืน ในวัยทองที่ระบบประสาทอัตโนมัติเริ่มมีประสิทธิภาพลดลงตามธรรมชาติ การบริโภคโซเดียมสูงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวัน
สัญญาณเตือนโรคไตที่วัยทองไม่ควรมองข้าม
โรคไตเรื้อรัง มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคจนกระทั่งไตเสื่อมไปมากแล้ว โดยสัญญาณเตือนบางประการที่วัยทองควรสังเกตและไม่ควรละเลย ได้แก่…
- ความดันโลหิตสูงผิดปกติ ไตทำหน้าที่ควบคุมความดันโลหิต เมื่อไตทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตจะสูงขึ้น และในทางกลับกัน ความดันโลหิตสูงก็ส่งผลให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น เกิดเป็นวงจรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
- อาการบวม โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้า ใบหน้า และรอบดวงตาตอนเช้า เนื่องจากไตไม่สามารถกำจัดของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปัสสาวะผิดปกติ อาจพบการเปลี่ยนแปลงของปัสสาวะ เช่น
- ปัสสาวะเป็นฟอง (เกิดจากโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ)
- ปัสสาวะสีเข้มขึ้นหรือมีสีน้ำตาลแดง (อาจมีเลือดปน)
- ปัสสาวะบ่อยขึ้นโดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- ปัสสาวะน้อยลงกว่าปกติ
- อ่อนเพลียผิดปกติ เมื่อไตทำงานลดลง ของเสียจะสะสมในร่างกาย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง แม้จะนอนหลับเพียงพอแล้ว
- คันตามผิวหนังโดยไม่มีผื่น เกิดจากของเสียสะสมในเลือดและส่งผลต่อผิวหนัง
- ความอยากอาหารลดลง อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติเปลี่ยนไป
- สมาธิและความจำลดลง ของเสียที่สะสมในเลือดอาจส่งผลต่อสมองและระบบประสาท ทำให้มีปัญหาด้านความคิด สมาธิ และความจำ
- นอนไม่หลับ ภาวะไตเสื่อมอาจทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับ นอนไม่สนิท หรือมีอาการนอนกรน
อาหารไทยยอดนิยมแหล่งโซเดียมแฝงที่คนไทยมองข้าม
อาหารไทยเป็นที่ชื่นชอบทั้งในและต่างประเทศด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ – ความกลมกล่อมของรสเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็มที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าเบื้องหลังความอร่อยนั้นมักแฝงไปด้วยปริมาณโซเดียมที่สูงเกินความจำเป็น เช่น…
1. ต้มยำกุ้ง
ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลกของไทย แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าในหนึ่งถ้วยของต้มยำกุ้งมีโซเดียมสูงถึง 1,200 – 1,500 มิลลิกรัม หรือเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน โซเดียมในต้มยำมาจากหลายแหล่ง ทั้งน้ำปลา น้ำมะนาว และกะปิ แม้รสชาติโดยรวมจะเน้นความเปรี้ยวและเผ็ด แต่โซเดียมก็แฝงอยู่ในส่วนผสมต่างๆ
จากการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า การทานต้มยำกุ้งรสจัดเพียงมื้อเดียวอาจทำให้ได้รับโซเดียมถึง 60% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน โดยเฉพาะในร้านอาหารที่มักปรุงรสให้เข้มข้นเพื่อความอร่อยถูกปาก
2. ส้มตำไทย
ส้มตำ มักถูกมองว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเนื่องจากมีผักสดเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ในความเป็นจริง ส้มตำไทยหนึ่งจานมีโซเดียมประมาณ 1,000 – 1,300 มิลลิกรัม แหล่งโซเดียมหลักในส้มตำมาจากน้ำปลา กะปิ และปลาร้า โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้าที่มีปริมาณโซเดียมสูงกว่าส้มตำไทยทั่วไปถึง 30%
3. แกงเขียวหวานไก่
แกงเขียวหวาน เป็นอีกหนึ่งอาหารไทยยอดนิยมที่มีโซเดียมสูง หนึ่งถ้วยของแกงเขียวหวานไก่มีโซเดียมประมาณ 900 – 1,200 มิลลิกรัม โซเดียมมาจากเครื่องแกงที่มีกะปิเป็นส่วนผสม น้ำปลา และกะทิที่บางครั้งมีการเติมเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ
สิ่งที่น่าสนใจ คือ แม้แกงเขียวหวานจะมีรสชาติหวานนำมาจากกะทิและน้ำตาล แต่ปริมาณโซเดียมที่แฝงอยู่กลับสูงมาก ทำให้หลายคนไม่ตระหนักว่ากำลังได้รับโซเดียมในปริมาณมาก
4. ผัดกระเพราเนื้อ – จานด่วนยอดฮิต แหล่งโซเดียมชั้นดี
ผัดกระเพรา เป็นอาหารจานเดียวที่คนไทยนิยมรับประทานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในมื้อกลางวันของคนทำงาน จากการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ผัดกระเพราเนื้อหนึ่งจานมีโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 1,400 – 1,700 มิลลิกรัม แหล่งโซเดียมหลักมาจากน้ำปลา ซีอิ๊วดำ ซอสหอยนางรม และผงปรุงรสต่างๆ ที่มักใช้ในการปรุง
ความน่ากังวลคือ การศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนทำงานในกรุงเทพฯ พบว่า 65% รับประทานผัดกระเพราเฉลี่ย 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้ได้รับโซเดียมสะสมในปริมาณที่สูงมาก
5. ข้าวมันไก่
หลายคนอาจมองว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารรสชาติกลางๆ ไม่จัดจ้าน แต่ในความเป็นจริง ข้าวมันไก่หนึ่งจานพร้อมน้ำจิ้มและน้ำซุป มีโซเดียมรวมประมาณ 1,000 – 1,300 มิลลิกรัม โดยแหล่งโซเดียมหลักมาจากน้ำจิ้ม น้ำซุป และเกลือที่ใช้ในการต้มไก่และหุงข้าว น้ำจิ้มข้าวมันไก่เพียง 2 ช้อนโต๊ะมีโซเดียมสูงถึง 600 – 800 มิลลิกรัม ทำให้หลายคนที่ชอบราดน้ำจิ้มปริมาณมากได้รับโซเดียมเกินความจำเป็นโดยไม่รู้ตัว
เครื่องปรุงรสไทยกับปริมาณโซเดียมที่น่าตกใจ
เครื่องปรุงรสเป็นหัวใจสำคัญของอาหารไทยที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารและเป็นที่ถูกใจอย่างมากต่อวัยทอง แต่เครื่องปรุงเหล่านี้ก็คือแหล่งโซเดียมหลักที่แฝงมาในทุกมื้ออาหาร มาดูกันว่าเครื่องปรุงไทยยอดนิยมมีปริมาณโซเดียมสูงเพียงใด
1. น้ำปลา – เครื่องปรุงคู่ครัวไทยที่เต็มไปด้วยโซเดียม
น้ำปลา เป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในครัวไทย ใช้ในการปรุงอาหารแทบทุกประเภท จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) มีโซเดียมประมาณ 1,160 – 1,420 มิลลิกรัม ซึ่งสูงกว่า 50% ของปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวันในการใช้เพียงครั้งเดียว
2. ซอสหอยนางรม – ความหอมที่มาพร้อมกับโซเดียมปริมาณมหาศาล
ซอสหอยนางรม เป็นเครื่องปรุงที่นิยมใช้ในอาหารผัดต่างๆ เช่น ผัดผักบุ้ง ผัดซีอิ๊ว ผัดกะเพรา ในซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียมประมาณ 900 – 1,100 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ซอสหอยนางรมยังมักมีการเติมโมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) เพื่อเพิ่มรสชาติ ทำให้ปริมาณโซเดียมสูงยิ่งขึ้น
3. ซีอิ๊วขาว และซีอิ๊วดำ
ซีอิ๊ว เป็นเครื่องปรุงที่ใช้บ่อยในอาหารไทย-จีน ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะมีโซเดียมประมาณ 1,000 – 1,200 มิลลิกรัม ส่วนซีอิ๊วดำ แม้จะมีโซเดียมน้อยกว่าคือประมาณ 600-800 มิลลิกรัมต่อช้อนโต๊ะ แต่ก็ยังถือว่าสูงมาก
น่าสนใจที่ว่า ซีอิ๊วดำมีรสหวานนำเค็ม ทำให้หลายคนใช้ในปริมาณมากเพราะไม่รู้สึกว่าเค็มเกินไป แต่ในความเป็นจริงกลับได้รับโซเดียมในปริมาณสูง
4. กะปิ
กะปิเป็นเครื่องปรุงสำคัญในอาหารไทยหลายชนิด โดยเฉพาะอาหารภาคกลางและภาคใต้ กะปิ 1 ช้อนโต๊ะมีโซเดียมประมาณ 750 – 900 มิลลิกรัม ซึ่งนับว่าสูงมากและในการทำเครื่องแกงหรือน้ำพริกต่างๆ มักใช้กะปิในปริมาณมาก การใช้กะปิในการปรุงอาหารหนึ่งครั้งอาจเพิ่มปริมาณโซเดียมในอาหารได้มากกว่า 1,500 มิลลิกรัม ทำให้อาหารที่ปรุงด้วยกะปิเป็นแหล่งโซเดียมที่สำคัญในอาหารไทย
5. น้ำพริกเผา
น้ำพริกเผา ใช้ในการปรุงอาหารไทยหลายประเภท เช่น ต้มยำ ผัดพริกเผา และใช้เป็นเครื่องจิ้ม น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะมีโซเดียมประมาณ 500 – 700 มิลลิกรัม ซึ่งมาจากเกลือและกะปิที่ใช้ในการผลิตน้ำพริกเผาที่มีขายตามท้องตลาดมักมีการเติมโซเดียมกลูตาเมต และวัตถุกันเสียที่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ ทำให้ปริมาณโซเดียมสูงขึ้นไปอีก วัยทองควรระวัง
อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูป ภัยเงียบจากโซเดียม
อาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในสังคมไทยที่เร่งรีบ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทองที่มีภาระงานและครอบครัว แต่สิ่งที่น่ากังวลคือปริมาณโซเดียมที่สูงมากในอาหารเหล่านี้
1. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยด้วยการกินที่ง่าย ไว รวมถึงอร่อย จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยในปี 2567 พบว่า คนไทย 72% บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งซองมีโซเดียมสูงถึง 1,500 – 2,200 มิลลิกรัม หรือเกือบเท่ากับปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวันทั้งวัน วัยทองหลีกได้เลี่ยง
2. อาหารกระป๋อง
อาหารกระป๋องเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับคนยุคใหม่ แต่กระบวนการผลิตมักต้องใช้เกลือและสารกันเสียที่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบในปริมาณสูง ตัวอย่างเช่น
- ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ 1 กระป๋อง (165 กรัม) มีโซเดียม 600 – 800 มิลลิกรัม
- แกงเขียวหวานไก่กระป๋อง 1 กระป๋อง มีโซเดียม 1,200 – 1,400 มิลลิกรัม
- ซุปก๋วยเตี๋ยวกระป๋อง 1 กระป๋อง มีโซเดียม 950 – 1,100 มิลลิกรัม
3. อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน
อาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มวัยทองของคนไทย โดยเฉพาะในเขตเมือง ในอาหารแช่แข็งหนึ่งกล่อง (350 – 400 กรัม) มีโซเดียมเฉลี่ย 1,000 – 1,800 มิลลิกรัม โดยอาหารไทยแช่แข็งยอดนิยม เช่น ข้าวผัดกะเพราไก่ ข้าวแกงเขียวหวาน และข้าวผัดไข่ มีปริมาณโซเดียมสูงกว่าการทำอาหารสดประมาณ 30-50%
4. ขนมขบเคี้ยวและอาหารว่างไทย – แหล่งโซเดียมที่มองข้าม
ขนมขบเคี้ยวและอาหารว่างไทยเป็นแหล่งโซเดียมที่สำคัญที่หลายคนมักมองข้าม เช่น:
- ปลาเส้นปรุงรส 100 กรัม มีโซเดียม 900 – 1,200 มิลลิกรัม
- หมูแผ่นปรุงรส 100 กรัม มีโซเดียม 1,200 – 1,400 มิลลิกรัม
- ข้าวเกรียบกุ้ง 100 กรัม มีโซเดียม 800 – 1,000 มิลลิกรัม
- ถั่วลิสงเคลือบรสต้มยำ 100 กรัม มีโซเดียม 600 – 800 มิลลิกรัม
ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า คนไทยวัยทองบริโภคขนมขบเคี้ยวเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และมักรับประทานในปริมาณมากกว่าหนึ่งหน่วยบริโภค ทำให้ได้รับโซเดียมสะสมในระดับที่อันตรายต่อสุขภาพไต
5. น้ำจิ้มและซอสปรุงสำเร็จ – โซเดียมในรูปของความอร่อย
น้ำจิ้มและซอสปรุงสำเร็จเป็นที่นิยมในครัวไทยเนื่องจากความสะดวก แต่เป็นแหล่งโซเดียมที่สำคัญ เช่น:
- น้ำจิ้มไก่สำเร็จรูป 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 600 – 800 มิลลิกรัม
- น้ำจิ้มซีฟู้ดสำเร็จรูป 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 700 – 900 มิลลิกรัม
- น้ำยำสำเร็จรูป 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 500 – 700 มิลลิกรัม
- ซอสผัดไทยสำเร็จรูป 30 กรัม มีโซเดียม 800 – 1,000 มิลลิกรัม
น้ำจิ้มและซอสปรุงสำเร็จเหล่านี้มักมีการเติมวัตถุเจือปนอาหารหลายชนิดที่มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ เช่น โมโนโซเดียมกลูตาเมต โซเดียมไบคาร์บอเนต และโซเดียมเบนโซเอต ทำให้ปริมาณโซเดียมสูงกว่าการทำน้ำจิ้มเองที่บ้านถึง 2 – 3 เท่า
แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสำหรับวัยทอง
เมื่อเข้าสู่วัยทอง…ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายประการ โดยเฉพาะการทำงานของไตที่เริ่มเสื่อมถอยลงตามธรรมชาติ การบริโภคโซเดียมในปริมาณมากเกินไปจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
และเช่นเคยในครั้งนี้เราจะนำเสนอแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารสำหรับวัยทอง เพื่อลดปริมาณโซเดียมและส่งเสริมสุขภาพไตที่แข็งแรง
เทคนิคลดโซเดียมโดยไม่ลดความอร่อย
1. ค่อยๆ ปรับลดปริมาณเกลือและเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูง
การเปลี่ยนแปลงทันทีอาจทำให้คุณรู้สึกว่าอาหารขาดรสชาติ แนะนำให้วัยทองวัยค่อยๆ ลดปริมาณเกลือและเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูงลงทีละน้อย ประมาณ 10 – 15% ต่อสัปดาห์ ช่วยให้ประสาทรับรสของคุณมีเวลาปรับตัว
ตัวอย่าง เช่น หากเคยใช้น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะในการปรุงอาหาร ให้ลดลงเหลือ 2.5 ช้อนชา และต่อไปเหลือ 2 ช้อนชา การปรับลดแบบค่อยเป็นค่อยไปนี้จะทำให้คุณแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของรสชาติ
2. ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศเพิ่มรสชาติแทนเกลือ
สมุนไพรและเครื่องเทศไทยมีกลิ่นและรสชาติที่เข้มข้น ช่วยเพิ่มความอร่อยให้อาหารโดยไม่ต้องพึ่งพาโซเดียม เช่น…
- ใบกระเพรา ให้กลิ่นหอมเฉพาะตัว เพิ่มความเข้มข้นในอาหารประเภทผัด
- ขิง เพิ่มรสเผ็ดร้อนและกลิ่นหอมในแกงและซุป
- ตะไคร้ ให้กลิ่นหอมสดชื่น เหมาะกับต้มยำและแกงต่างๆ
- ใบมะกรูด เพิ่มกลิ่นหอมเฉพาะตัวในแกงและต้มยำ
- พริกไทย ให้รสเผ็ดร้อนที่ช่วยกระตุ้นประสาทรับรส
3. ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูเพิ่มรสเปรี้ยว
รสเปรี้ยวจากน้ำมะนาว น้ำมะขาม หรือน้ำส้มสายชู ช่วยขับรสชาติอาหารให้โดดเด่นโดยไม่ต้องพึ่งเกลือมากเกินไป ตัวอย่างเช่น
- แซ่บไก่โดยใช้น้ำมะนาวแทนผงชูรส
- ผัดผักโดยเพิ่มน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อยตอนจบ
- แกงส้มที่ใช้น้ำมะขามเปียกเพิ่มรสเปรี้ยวแทนการเพิ่มเกลือ
4. ใช้เทคนิคการปรุงอาหารที่เน้นรสชาติธรรมชาติ
เทคนิคการปรุงอาหารบางอย่างช่วยเพิ่มรสชาติโดยไม่ต้องเพิ่มโซเดียม
- การคั่วหรืออบเครื่องเทศก่อนใช้ ช่วยให้กลิ่นและรสชาติเข้มข้นขึ้น
- การย่างหรือปิ้งวัตถุดิบ ช่วยเพิ่มรสชาติเข้มข้นด้วยกระบวนการคาราเมไลเซชัน
- การเคี่ยวน้ำซุปจากกระดูกหรือเนื้อสัตว์ ได้น้ำซุปที่มีรสชาติเข้มข้นจากธรรมชาติ
- การหมักเนื้อสัตว์ด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศ ช่วยให้รสชาติซึมเข้าเนื้อโดยไม่ต้องพึ่งเกลือมาก
การปรับสูตรอาหารไทยให้เป็นมิตรกับไต
อาหารไทยมีเอกลักษณ์ด้านรสชาติที่เข้มข้น แต่ก็สามารถปรับสูตรให้มีโซเดียมต่ำลงโดยยังคงความอร่อยได้…
1. แกงและต้มยำ
แกงไทยและต้มยำมักมีโซเดียมสูงจากน้ำปลาและผงปรุงรส แต่สามารถปรับสูตรได้ ดังนี้
- แกงเขียวหวาน ลดปริมาณน้ำปลาลง 50% เพิ่มใบโหระพาและพริกสดมากขึ้น เพิ่มน้ำมะนาวเล็กน้อยเพื่อเสริมรสชาติ
- ต้มยำ ใช้น้ำต้มกระดูกหรือน้ำต้มเนื้อไก่เป็นน้ำซุปหลัก เพิ่มตะไคร้ ใบมะกรูด และข่าให้มากขึ้น ลดน้ำปลาลงครึ่งหนึ่ง
- แกงส้ม ใช้มะขามเปียกหรือส้มมะขามเพิ่มรสเปรี้ยว ลดปริมาณน้ำปลาและเกลือ
- ต้มจืด เคี่ยวกระดูกหมูหรือไก่ให้นาน เพื่อให้ได้น้ำซุปที่มีรสชาติเข้มข้นโดยไม่ต้องเติมเกลือมาก
2. อาหารจานเดียวและอาหารผัด
อาหารจานเดียวและอาหารผัดไทย มักมีการใช้ซอสปรุงรสหลายชนิดร่วมกัน สามารถปรับลดโซเดียมได้ ดังนี้
- ผัดกระเพรา ลดปริมาณน้ำปลาและซีอิ๊วดำ เพิ่มใบกระเพราสดและพริกสด เพิ่มน้ำมะนาวเล็กน้อยตอนผัดเสร็จ
- ผัดไทย ทำน้ำปรุงโดยใช้น้ำปลาโซเดียมต่ำหรือลดปริมาณลง เพิ่มน้ำมะขามให้มากขึ้น
- ข้าวผัด ช้น้ำมันหอยและซีอิ๊วโซเดียมต่ำ หรือลดปริมาณลง เพิ่มผักและสมุนไพร เช่น ต้นหอม ใบโหระพา
3. น้ำพริกและเครื่องจิ้ม
น้ำพริกและเครื่องจิ้มไทยมักมีโซเดียมสูง แต่สามารถปรับได้…
- น้ำพริกกะปิ ลดปริมาณกะปิและเกลือลง เพิ่มมะนาวและน้ำตาลให้สมดุล
- น้ำจิ้มซีฟู้ด ใช้น้ำมะนาวมากขึ้น ลดปริมาณน้ำปลา
- น้ำพริกแจ่ว ลดเกลือ เพิ่มพริกป่นและข้าวคั่ว
4. ส้มตำและยำ
อาหารประเภทส้มตำและยำ มักมีโซเดียมสูงจากน้ำปลาและผงปรุงรส…
- ส้มตำไทย ลดปริมาณน้ำปลา เพิ่มมะนาวให้มากขึ้น
- ยำวุ้นเส้น ใช้น้ำมะนาวเป็นหลัก ลดน้ำปลาลงครึ่งหนึ่ง เพิ่มพริกสดและกระเทียมให้มากขึ้น
- ลาบ ใช้ข้าวคั่วและสมุนไพรให้มาก ลดปริมาณน้ำปลาและผงปรุงรส
การศึกษาจากคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า การปรับสูตรอาหารไทยตามแนวทางข้างต้นสามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้ 40 – 60% โดยผู้บริโภคยังคงได้รับความพึงพอใจในรสชาติไม่ต่างจากสูตรดั้งเดิมมากนัก
เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมได้อย่างยั่งยืน
1. ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
กำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ เช่น:
- ลดปริมาณโซเดียมที่บริโภคลง 20% ภายใน 1 เดือน
- ลดการใช้เกลือในการปรุงอาหารลงครึ่งหนึ่งภายใน 2 สัปดาห์
- เปลี่ยนเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงเป็นทางเลือกที่มีโซเดียมต่ำอย่างน้อย 2 ชนิดภายในสัปดาห์นี้
2. ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีละขั้น
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทันทีอาจทำให้รู้สึกยากและท้อแท้ การค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่า:
- สัปดาห์ที่ 1 ลดปริมาณเกลือที่ใช้ในการปรุงอาหารลง 25%
- สัปดาห์ที่ 2 เริ่มใช้สมุนไพรและเครื่องเทศเพิ่มรสชาติแทนเกลือ
- สัปดาห์ที่ 3 เปลี่ยนเครื่องปรุงรสบางชนิดเป็นตัวเลือกที่มีโซเดียมต่ำ
- สัปดาห์ที่ 4 ทดลองปรับสูตรอาหารเพื่อลดโซเดียม
3. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง
จัดการสภาพแวดล้อมในครัวและบ้านของคุณให้เอื้อต่อการลดโซเดียม:
- นำเกลือและเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูงออกจากโต๊ะอาหาร
- เก็บสมุนไพรและเครื่องเทศไว้ในที่หยิบใช้ได้สะดวก
- มีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการปรุงอาหารแบบลดโซเดียม เช่น เครื่องปั่น เครื่องบด
- ติดฉลากและตารางปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงต่างๆ ไว้ในครัวเพื่อเตือนใจ
4. สร้างระบบติดตามและให้รางวัลตนเอง
การติดตามความก้าวหน้าและให้รางวัลตนเองเมื่อบรรลุเป้าหมายจะช่วยสร้างแรงจูงใจ…
- จดบันทึกอาหารและเครื่องปรุงที่ใช้ในแต่ละวัน
- ใช้แอปพลิเคชันติดตามปริมาณโซเดียมที่บริโภค
- กำหนดรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อทำได้ตามเป้าหมาย เช่น ซื้อเครื่องครัวใหม่ ไปสปา หรือกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ
5. หาพันธมิตรในการเปลี่ยนแปลง
หาใครสักที่มีคนที่เข้าใจและสนับสนุนเป้าหมายของคุณจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมง่ายขึ้น
- ชวนสมาชิกในครอบครัวร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
- เข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์ที่มีเป้าหมายเดียวกัน
- ปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและกำลังใจ
และคุณผู้อ่านท่านใดที่อยากมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเผื่อสุขภาพสักตัว เข้ามาเติมเต็มการดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น เราขอแนะนำให้ทำความรู้จักกับ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ทางเลือกเพื่อสุขภาพวัยทองที่ใส่ใจไตสำหรับคุณผู้หญิงวัยทอง เห็นได้ชัดว่าวัยทองเป็นช่วงที่ต้องใส่ใจเรื่องการบริโภคโซเดียมเป็นพิเศษ เนื่องจากไตเริ่มมีประสิทธิภาพลดลงตามธรรมชาติ โดยสูญเสียหน่วยไต
โดยรวบรวมสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่มีคุณประโยชน์สอดคล้องกับความต้องการของร่างกายในช่วงวัยนี้ โดยแต่ละส่วนประกอบมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงสนับสนุนการทำงานของไตทางอ้อม
- สารสกัดจากถั่วเหลือง อุดมไปด้วยไอโซฟลาโวนที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการวัยทองในสตรี เช่น อาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิดง่าย และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ยังช่วยรักษาสมดุลของความดันโลหิต ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระการทำงานของไตทางอ้อม
- สารสกัดจากตังกุย สมุนไพรจีนที่มีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยบำรุงเลือด และลดอาการปวดประจำเดือน เหมาะสำหรับสตรีวัยทองที่ยังมีประจำเดือนแต่มักมาไม่สม่ำเสมอ การไหลเวียนโลหิตที่ดีช่วยให้ไตได้รับเลือดและออกซิเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งสำคัญมากเนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่ต้องการเลือดมาเลี้ยงในปริมาณมาก
- สารสกัดจากแปะก๊วย มีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยปรับปรุงความจำและการทำงานของสมอง ซึ่งสอดคล้องกับหัวข้อ “สมองและระบบประสาท: ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง”
- สารสกัดจากงาดำ อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงกระดูกและต้านการเสื่อมของเซลล์ งาดำยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการลดภาระการทำงานของไตในการกำจัดของเสีย
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในวัยทอง โดยเฉพาะในผู้หญิง สารในแครนเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต ซึ่งเป็นภาวะที่พบบ่อยขึ้นในวัยทอง
- อินูลิน พรีไบโอติก เป็นเส้นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร แต่จะถูกหมักโดยแบคทีเรียดีในลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ ลำไส้ที่แข็งแรงช่วยลดการดูดซึมสารพิษเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นการลดภาระการกรองของไต และยังช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคไตเรื้อรัง
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และคุณผู้ชายกับ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ตัวช่วยสำหรับวัยทองที่ใส่ใจสุขภาพ
ด้วยส่วนประกอบที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง จากสารสกัด 7 ชนิด คือ
- สารสกัดจากโสมเกาหลี โสมเกาหลีมีคุณสมบัติเด่นในการเสริมภูมิคุ้มกันและลดความเครียด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในบทความที่กล่าวถึง “การจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพไต” เนื่องจากความเครียดเรื้อรังสามารถส่งผลต่อการทำงานของไตในวัยทอง โสมเกาหลียังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน อันเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคไตเรื้อรังตามที่บทความระบุ
- สารสกัดจากฟีนูกรีก ฟีนูกรีกมีสรรพคุณในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ “หัวใจและหลอดเลือด: ระบบที่ได้รับผลกระทบโดยตรง” การรักษาสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือดมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับวัยทอง เนื่องจากโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต
- 3. แอล อาร์จีนีน กรดอะมิโนที่ร่างกายใช้ในการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด สอดคล้องกับหัวข้อ “ความดันโลหิตสูง: ภัยคู่กายของโรคไต” ในบทความ การเสริม L-Arginine อาจช่วยควบคุมความดันโลหิตซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสุขภาพไต โดยเฉพาะในวัยทองที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคความดันโลหิตสูง
- 4. สารสกัดกระชายดำ กระชายดำเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต นอกจากนี้กระชายดำยังเป็นหนึ่งในสมุนไพรไทยที่ถูกศึกษาว่ามีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันและการต้านการอักเสบ
- 5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท เป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน วัยทองมักพบปัญหา “มวลกระดูกและกล้ามเนื้อ: ผลกระทบที่มักถูกมองข้าม” ซึ่งซิงค์อาจช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและชะลอการเสื่อมของเซลล์ได้
- 6. สารสกัดจากแปะก๊วย ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดและมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ โดยแปะก๊วยอาจช่วยรักษาความสมดุลของระบบประสาทและการรับรู้ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพสมอง
- 7. สารสกัดจากงาดำ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสร ที่ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงแทนเครื่องปรุงที่มีโซเดียมสูง งาดำช่วยเสริมแคลเซียมและสารอาหารที่สนับสนุนการทำงานของกระดูกและกล้ามเนื้อ
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) อาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดูแลสุขภาพองค์รวมสำหรับวัยทอง การดูแลสุขภาพไตที่ดีที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม และการควบคุมโรคประจำตัวอย่างเหมาะสม โดยทานง่ายๆ ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารมื้อสะดวก
สรุป
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อลดโซเดียม เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับความพยายาม การลดโซเดียมไม่เพียงช่วยป้องกันโรคไตเรื้อรังในวัยทอง แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด
แต่การเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ทีละขั้น การใช้สมุนไพรและเครื่องเทศเพิ่มรสชาติแทนเกลือ การเลือกเครื่องปรุงทางเลือกที่มีโซเดียมต่ำ และการปรับสูตรอาหารไทยให้เป็นมิตรกับไต จะช่วยให้คุณสามารถลดปริมาณโซเดียมในอาหารได้โดยไม่สูญเสียความอร่อย
จงจำไว้ว่า การดูแลไตให้แข็งแรงในวัยทองเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว และไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพของคุณ เริ่มต้นวันนี้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อลดโซเดียม และคุณจะขอบคุณตัวเองในอนาคตอย่างแน่นอนกับ ดีเน่ DNAe…