มะเร็งปอดในคนอายุน้อยเพิ่มขึ้นทุกปี

กลายเป็นอีกเรื่องที่น่าตกใจ…คุณผู้อ่านและวัยทองทุกท่านทราบไหมคะว่าตอนนี้มะเร็งปอดไม่ได้เป็นโรคของคนสูงอายุแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ออยลี่เพิ่งได้ยินข่าวที่น่าตกใจมากจากหมอที่โรงพยาบาลว่า ปัจจุบันคนอายุ 30 – 40 ปี เป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และที่น่ากลัวกว่านั้น คือ หลายคนไม่เคยสูบบุหรี่เลยด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ออยลี่มองว่าสำหรับวัยทอง อายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษเลยค่ะ เพราะแม้ว่าคนอายุน้อยจะเสี่ยงมากขึ้น แต่วัยทองยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดอยู่ดี และที่สำคัญ คือ ร่างกายในวัยนี้อาจไม่แข็งแรงพอที่จะสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็งปอดนี้ได้เหมือนคนหนุ่มสาว

วันนี้ออยลี่เลยอยากมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งปอดให้คุณผู้อ่านทุกท่าน และเหล่าวัยทองทุกคนได้รับรู้กันทั้งเรื่องสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่เป็นมากขึ้น อาการที่ต้องระวัง วิธีป้องกัน และที่สำคัญ คือ การตรวจหาโรคมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดได้มากเลยค่ะ

ทำความรู้จักกับมะเร็งปอด โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด

มะเร็งปอด คือ ภาวะที่เซลล์ในปอดเจริญเติบโตผิดปกติจนแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ กลายเป็นก้อนเนื้องอกร้าย ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้ จากสถิติล่าสุดมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 จากโรคมะเร็งทุกชนิด ในแต่ละปีมีคนไทยเป็นมะเร็งปอดรายใหม่ประมาณ 20,000 คน และเสียชีวิตกว่า 17,000 คน ตัวเลขนี้น่ากลัวมากใช่ไหมคะ? 

มะเร็งปอดมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือ…

  • มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer)
    พบประมาณ 85% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด ชนิดนี้โตค่อนข้างช้า มีโอกาสรักษาหายได้
    ถ้าพบในระยะแรก
  • มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer)
    พบประมาณ 15% ชนิดนี้โตเร็วมาก แพร่กระจายไว มักพบในคนที่สูบบุหรี่จัด

ที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันมะเร็งปอดในคนที่ไม่สูบบุหรี่มีจำนวนเพิ่มเติมมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงและคนอายุน้อย ซึ่งนี่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่แพทย์ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอย่างมาก สิ่งที่ทำให้มะเร็งปอดน่ากลัว คือ มักไม่มีอาการในระยะแรก พอมีอาการชัดเจนมักจะเป็นระยะที่ลุกลามแล้ว ทำให้การรักษายากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องรู้จักป้องกันและหมั่นตรวจสุขภาพนั่นเอง 

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคนรุ่นใหม่ที่ดูแลสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ กลับเป็นมะเร็งปอดได้ ลองมาดูสาเหตุกันว่า… เพราะอะไรคนอายุน้อยถึงเป็นมะเร็งปอดกันมากขึ้น?

สาเหตุที่ทำให้คนอายุน้อยเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น

1. มลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้น 

นี่ คือ ปัจจัยปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ฝุ่นพิษ 06:02/68 ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝุ่นขนาดเล็กพวกนี้สามารถเข้าไปฝังตัวในปอดส่วนลึกได้ง่ายผ่านการสูดอากาศหายใจปกติของเรานี่แหละ และทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง กระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้

2. การสูดดมควันมือสอง 

แม้ตัวคุณผู้อ่านหรือวัยทองเองไม่สูบบุหรี่ แต่การได้รับควันบุหรี่จากคนรอบข้าง หรือที่เขาเรียกว่าบุหรี่มือสองก็เสี่ยงพอๆ กัน จากงานวิจัยทำให้พบว่าคนที่อยู่กับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 20 – 30%

3. สารเคมีในสิ่งแวดล้อม

คนรุ่นใหม่ต้องเผชิญกับสารเคมีมากมายในชีวิตประจำวัน ทั้งจากอาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด รวมถึงสารเคมีในที่ทำงาน บางชนิดอาจเป็นสารก่อมะเร็งที่สะสมในร่างกายเรื่อยๆ ได้

4. ทำงานในที่อากาศไม่ถ่ายเท 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า…คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทำงานในออฟฟิศแอร์ติดตลอด 8 – 10 ชั่วโมงต่อวัน .ซึ่งหากทำในพื้นที่อากาศที่ไม่ถ่ายเทสะดวก ฝุ่นจากเครื่องถ่ายเอกสาร สารเคมีจากเฟอร์นิเจอร์ พรมต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดมะเร็งปอดได

5. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ 

คนรุ่นใหม่มีความเครียดสูงจากการทำงาน การแข่งขัน การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ นอนดึก พักผ่อนน้อย ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ไม่ดี และเมื่อเจอกับมลพิษข้างนอกจึงทำให้อาจก่อมะเร็งปอดได้ง่าย

6. พันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของยีน 

บางคนมียีนที่ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะยีน EGFR ที่พบบ่อยในคนเอเชีย ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้แม้ไม่สูบบุหรี่

7. การติดเชื้อไวรัสบางชนิด

 มีงานวิจัยพบว่า การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV (Human Papillomavirus) อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดได้

8. รังสีจากการตรวจเอกซเรย์บ่อยๆ 

คนรุ่นใหม่มักตรวจสุขภาพบ่อย บางคนเอกซเรย์ปอดทุกปี หรือทำ CT Scan บ่อยๆ รังสีสะสมอาจเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน

วัยทองกับความเสี่ยงมะเร็งปอด ทำไมต้องระวังเป็นพิเศษ?

สำหรับวัยทองต้องบอกตรงๆ ว่ายังคงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด แม้ว่าคนอายุน้อยจะเสี่ยงมากขึ้น แต่สถิติยังบอกว่า กว่า 70% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดมีอายุมากกว่า 60 ปี และเหตุผลหลายประการที่ทำให้วัยทองต้องระวังเป็นพิเศษ คือ…

1. ร่างกายสะสมสารพิษมานาน 

อายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป ร่างกายได้สัมผัสกับมลพิษ สารเคมี ควันบุหรี่ มาเป็นเวลานานหลายสิบปี สารพิษเหล่านี้สะสมในร่างกายและอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ ไม่ว่าจะทั้งจากควันรถเมล์ดำคลุ้ง โรงงานปล่อยควันเต็มไปหมด บุหรี่ก็สูบกันทุกที่ ร่างกายเราจึงรับสารพิษมาเยอะมาก

2. ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

เมื่ออายุมากขึ้นและเข้าสู่วัยทอง ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าตอนหนุ่มสาว ความสามารถในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติลดลง ทำให้เซลล์มะเร็งมีโอกาสเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น

3. โรคประจำตัวหลายโรค 

วัยทองมักมีโรคประจำตัวหลายโรคจากอายุที่มากขึ้น เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ และบางโรคก็เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดด้วย

4. ประวัติสูบบุหรี่ในอดีต
หลายคนในวัยทองเคยสูบบุหรี่มาก่อน แม้จะเลิกแล้วก็ตาม แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปอดยังคงอยู่ และอาจพัฒนาเป็นมะเร็งได้แม้เลิกสูบมาหลายปีแล้ว

5. การตรวจพบโรคช้า 

วัยทองมักคิดว่าอาการผิดปกติต่างๆ เป็นเรื่องปกติของวัย เช่น ไอเรื้อรัง เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด จึงไม่ไปพบแพทย์ ทำให้ตรวจพบมะเร็งในระยะที่ลุกลามแล้ว

6. ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ช้า 

เซลล์ในร่างกายของวัยทองมีความสามารถในการซ่อมแซม DNA ที่เสียหายได้น้อยลง ทำให้มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์และพัฒนาเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้น

7. ได้รับรังสีสะสมมานาน

คนในวัยทองมักเคยทำเอกซเรย์ หรือได้รับรังสีจากการตรวจรักษาต่างๆ มาหลายครั้งตลอดชีวิต รังสีที่สะสมอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้

8. อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมานาน 

บางคนอาศัยอยู่ใกล้โรงงาน ถนนใหญ่ที่มีมลพิษ หรือในบ้านที่มีก๊าซเรดอน (radon) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง การสัมผัสเป็นเวลานานเพิ่มความเสี่ยงมาก

หนึ่งในปัญหาใหญ่ของมะเร็งปอด คือ อาการในระยะแรกมักไม่ชัดเจน หรือคล้ายกับโรคทั่วไป ทำให้วัยทองหลายคนไม่ใส่ใจ พอไปหาหมอก็มักจะสายเกินไป ออยลี่จะมาบอกอาการที่ควรระวังให้ฟังนะคะ

  • ไอเรื้อรังนานกว่า 3 สัปดาห์
    อาการที่พบบ่อยที่สุด ไอที่ไม่หายเป็นเวลานาน ไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ โดยเฉพาะถ้าไอแล้วรู้สึกเจ็บหน้าอก ยิ่งต้องระวัง
  • ไอเป็นเลือด
    ถ้าไอแล้วมีเลือดปน แม้จะนิดเดียวก็ต้องรีบไปหาหมอทันที อย่านึกว่าเป็นเพราะไอแรงจนคอแตก นี่อาจเป็นสัญญาณมะเร็งปอด
  • เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ ไอ หรือหัวเราะ
    ความเจ็บที่ไม่ดีขึ้นหรือเจ็บตลอดเวลา โดยเฉพาะเจ็บแบบแปลบๆ คล้ายถูกมีดแทง ต้องระวัง สัญญาณจากมะเร็งปอด
  • หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย
    ทำกิจกรรมเบาๆ แค่เดินขึ้นบันไดก็หอบแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็น อาจเป็นเพราะมะเร็งทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่
  • เสียงแหบเรื้อรัง
    เสียงแหบนานเกิน 2 สัปดาห์ โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเป็นเพราะมะเร็งไปกดทับเส้นประสาทที่ควบคุมกล่องเสียง
  • น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ถ้าน้ำหนักลดเกิน 5% ของน้ำหนักตัวใน 6 เดือน โดยไม่ได้ลดอาหารหรือออกกำลังกาย ต้องระวัง อาจเป็นสัญญาณจากมะเร็ง
  • เบื่ออาหาร

รู้สึกไม่อยากกินข้าว กินได้น้อยลง ท้องอืดง่าย อิ่มเร็ว นี่อาจเป็นสัญญาณของมะเร็ง

  • อ่อนเพลียเรื้อรัง
    รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา แม้พักผ่อนเพียงพอแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น
  • ปวดกระดูก
    โดยเฉพาะปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดซี่โครง อาจเป็นเพราะมะเร็งแพร่กระจายไปที่กระดูกแล้ว
  • ปวดศีรษะ มึนงง
    ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปที่สมอง อาจทำให้ปวดหัว เดินเซ มองเห็นภาพซ้อน
  • บวมที่ใบหน้าและคอ
    มะเร็งปอดบางชนิดอาจกดทับหลอดเลือดดำใหญ่ ทำให้เลือดไหลกลับไม่สะดวก และเกิดอาการบวมตามมา
  • ปลายนิ้วบวมคล้ายไม้ตีกลอง
    นิ้วมือนิ้วเท้าบวม เล็บโค้งผิดปกติ พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปอดบางราย ควรสังเกตร่างกาย

สิ่งสำคัญที่อยากฝากไว้ คือ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอื่นที่ไม่ร้ายแรงก็ได้ แต่ถ้ามีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะหลายอาการร่วมกัน หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 2 – 3 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ซึ่งการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเจอในระยะที่ 1 มีโอกาสรักษาหายได้ถึง 80-90% แต่ถ้าเป็นระยะที่ 4 โอกาสรอดชีวิตเหลือแค่ 5 – 10% เท่านั้น ซึ่งวิธีการตรวจหามะเร็งปอดมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

1. การตรวจด้วย Low-Dose CT Scan (LDCT)
เป็นการตรวจหามะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ใช้รังสีน้อยกว่า CT Scan ทั่วไป สามารถเห็นก้อนเนื้อขนาดเล็กได้ตั้งแต่ 2 – 3 มิลลิเมตร

2. เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray)
เป็นการตรวจพื้นฐานที่ทำง่าย ราคาไม่แพง แต่ความแม่นยำต่ำเจอมะเร็งระยะแรกได้ยาก ต้องเป็นก้อนใหญ่พอสมควรถึงจะเห็น

3. ตรวจเสมหะหาเซลล์มะเร็ง (Sputum Cytology)
เก็บเสมหะมาตรวจหาเซลล์มะเร็ง ทำง่าย ไม่เจ็บตัว แต่ความแม่นยำต่ำ ตรวจเจอมะเร็งได้แค่ 20-30% เท่านั้น

4. ตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers)
ตรวจหาสารที่เซลล์มะเร็งปล่อยออกมาผ่านการเจาะเลือด เช่น CEA, CYFRA 21-1, NSE

5. ส่องกล้องตรวจหลอดลม (Bronchoscopy)
ใส่กล้องเข้าไปดูในหลอดลม ใช้เมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจอื่นแล้ว

“มะเร็งปอด”

ป้องกันได้ไม่อยากอย่างที่คิด

หลายอย่างเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราทำได้ในชีวิตประจำวัน

วิธีป้องกันมะเร็งปอดสำหรับ “ทุกวัย”

การป้องกันมะเร็งปอดไม่ได้ยากอย่างที่หลายท่านคิดค่ะ เพราะหลายอย่างเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราทำได้ในชีวิตประจำวัน และแน่นอนว่าออยลี่ก็ได้รวบรวมวิธีป้องกันที่ได้ผลจริงมาฝากอีกเช่นเคย

  1. เลิกบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่

เป็นข้อแรกและสำคัญที่สุดจริงๆ ค่ะ เพราะบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด 14:02/68 85 – 90% ของผู้ป่วยทั้งหมด ออยลี่อยากให้คุณผู้อ่านลองนึกภาพตาม ทุกครั้งที่สูบบุหรี่ 1 มวน ก็เหมือนกับส่งสารเคมีกว่า 70 ชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งเข้าไปในปอดโดยตรง สิ่งที่หลายคนมองข้าม คือ ควันบุหรี่มือสอง ซึ่งอันตรายไม่แพ้กับการสูบเลย ถ้าคนในบ้านสูบบุหรี่ต้องขอให้ไปสูบข้างนอกบ้าน ห้ามสูบในรถ ในห้องแอร์ เพราะควันจะสะสมและลอยอยู่ในอากาศนานหลายชั่วโมง แม้แต่เสื้อผ้าที่ติดกลิ่นบุหรี่ก็ยังมีสารเคมีที่เป็นอันตรายอยู่ด้วย

  1. หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ

ฝุ่น PM 2.5 เป็นอนุภาคที่เล็กมากจนมองไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า แต่สามารถเข้าไปถึงถุงลมปอดได้โดยตรง และสะสมอยู่ในปอดเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด ในวันที่ค่า PM 2.5 สูงเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ออยลี่แนะนำว่าควรอยู่ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่าง เปิดเครื่องฟอกอากาศ ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้านให้ใส่หน้ากาก N95 ที่กรองอนุภาคเล็กได้ 95% อย่าใส่หน้ากากผ้าธรรมดา เพราะกรองฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้

  1. ดูแลสภาพแวดล้อมในบ้าน

บ้านเป็นที่ที่ออยลี่มองว่าเราอยู่นานที่สุดในแต่ละวัน ดังนั้นคุณภาพอากาศในบ้านจึงสำคัญมาก การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนและห้องนั่งเล่นจะช่วยกรองฝุ่น เชื้อโรค และสารเคมีต่างๆ ออกจากอากาศ ควรเลือกเครื่องที่มีฟิลเตอร์ HEPA ที่กรองอนุภาคเล็กได้ดี การทำความสะอาดแอร์และพัดลมเป็นประจำก็สำคัญมาก เพราะถ้าไม่สะอาดเครื่องเหล่านี้จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและฝุ่นแทน ควรล้างแอร์ทุก 3 – 4 เดือน ทำความสะอาดพัดลมทุกเดือน

การเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทก็ดี แต่ต้องเลือกเวลาที่อากาศดี เช่น เช้าตรู่หรือหลังฝนตก เวลาที่ฝุ่นน้อย หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีฉีดพ่นในบ้าน เช่น สเปรย์กำจัดแมลง น้ำยาทำความสะอาดที่มีกลิ่นแรง เพราะสารเคมีเหล่านี้สามารถระคายเคืองระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ช่วยฟอกอากาศก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ดี ต้นไม้บางชนิดสามารถดูดซับสารเคมีในอากาศได้ เช่น ลิ้นมังกรที่ดูดซับฟอร์มาลดีไฮด์ สนฉัตรที่ดูดซับเบนซิน โต๊ะต้นไผ่ที่ช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ แต่ต้องดูแลให้ดี อย่าให้มีน้ำขัง เพราะจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค

  1. ทานอาหารต้านมะเร็ง

อาหารหลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้จริง 

  • ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บรอกโคลี มีสารซัลโฟราเฟนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งแรงมาก สารนี้จะช่วยกระตุ้นเอนไซม์ในร่างกายให้กำจัดสารก่อมะเร็งออกไป
  • ผลไม้และผักสีสด เช่น มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง มีเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงเยื่อบุทางเดินหายใจให้แข็งแรง ต้านทานสารก่อมะเร็งได้ดีขึ้น
  • กระเทียมและหอมแดง มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วย ควรกินสดหรือปรุงแต่เล็กน้อยเพื่อให้สารสำคัญไม่สูญหาย
  • ชาเขียว มีสารคาเทชินโดยเฉพาะ EGCG ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ช่วยป้องกันการเสียหายของเซลล์จากสารก่อมะเร็ง ควรดื่มชาเขียวสด ๆ วันละ 2 – 3 แก้ว
  • ปลาทะเล มีโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ EPA และ DHA ที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การอักเสบเรื้อรังเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็ง ปลาที่แนะนำ เช่น แซลมอน ทูน่า ซาบะ

เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้คนในปัจจุบันเสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ สารเคมีในสิ่งแวดล้อม ความเครียด และการที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราในวัยทองอ่อนแอลงตามธรรมชาติ ออยลี่คิดว่าการเสริมสร้างร่างกายจากภายในด้วยสารอาหารที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ทุกๆ ท่านควรพิจารณา จึงขอแนะนำนี่เลยค่ะ…

ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) สำหรับผู้หญิงวัยทองที่กำลังกังวลเรื่องสุขภาพปอดและสุขภาพโดยรวม ดีเน่ ฟลาโวพลัส นี่อาจเป็นตัวช่วยที่น่าสนใจ ผ่านสารสกัดจากธรรมชาติถึง 6 ชนิด 

  1. สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศเสปน
    ช่วยเสริมฮอร์โมนที่เริ่มลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งฮอร์โมนที่สมดุลจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานได้ดีขึ้นด้วย เพิ่มภูมิคุ้มกันที่ไม่ทำให้ร่างกายอ่อนแอที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งปอด 
  1. สารสกัดจากตังกุย สมุนไพรจีนที่มีชื่อเสียงในการบำรุงโลหิต ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น การที่เลือดไหลเวียนดีจะช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงปอดและอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพปอดให้แข็งแรง
  1. สารสกัดจากแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบหายใจด้วย ช่วยส่งเสริมป้องกันอาการหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยง่ายที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งปอด
  1. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต่อสู้กับความเสียหายจากมลพิษที่เราสูดหายใจเข้าไปทุกวัน เช่น ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด การมีสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายจึงเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ
  1. งาดำ มีสรรพคุณในการช่วยลดการอักเสบในร่างกาย อีกปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เมื่อร่างกายเรามีการอักเสบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจากการสูดควันพิษ มลพิษ หรือความเครียด จะทำให้สภาพแวดล้อมในร่างกายเอื้อต่อการเกิดและเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
  1. อินูลิน พรีไบโอติก ช่วยเสริมสร้างแบคทีเรียดีในลำไส้ เมื่อลำไส้แข็งแรงจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงตาม เพราะภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) สำหรับการดูแลสุขภาพผู้ชายวัยทอง

  1. สารสกัดจากโสมเกาหลี สมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการเพิ่มพลังงานและความแข็งแรงให้ร่างกาย ช่วยต่อสู้กับความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการเตือนของมะเร็งปอด การที่ร่างกายมีพลังงานเหมาะสมจะช่วยให้ระบบต่างๆ ทำงานได้ดี รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันด้วย
  1. แอล อาร์จีนีน ทำหน้าที่ช่วยในการขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนดี ออกซิเจนจะไปเลี้ยงปอดและอวัยวะต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยรักษาสุขภาพปอดให้แข็งแรง
  1. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบต่อต้านโรค
  1. สารสกัดกระชายดำ สมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในการเสริมสร้างความแข็งแรงและช่วยในการต่อต้านการอักเสบ การอักเสบเรื้อรังเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็ง การมีสารต้านการอักเสบในร่างกายจึงเป็นการป้องกันที่ดี
  1. แปะก๊วย ช่วยขยายหลอดเลือด ลดการอุดตัน และปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต จะช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงปอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยขนส่งสารอาหารและเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังปอดเพื่อต่อสู้กับสารพิษและเซลล์ที่ผิดปกติ
  1. งาดำ ช่วยสนับสนุนการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้ทำงานได้ดีขึ้น ไม่ใช่การเพิ่มฮอร์โมนโดยตรง แต่เป็นการช่วยให้ร่างกายผลิตและใช้ฮอร์โมนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มวัยทองที่ต้องการดูแลสุขภาพองค์รวมและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ด้วยส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ถูกคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของวัยทองที่อยู่ในช่วงวัยนี้ แต่ควรใช้ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โดยคุณผู้อ่านสามารถรับประทานง่ายๆ แค่เพียงวันละ 1 เม็ด หลังอาหารมื้อที่สะดวกมื้อใดก็ได้ พร้อมทานคู่กับน้ำเปล่า อย่าลืมควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่ เพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมายในการป้องกันมะเร็ง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเซลล์ผิดปกติได้ดีขึ้น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านเหงื่อและการหายใจ ลดการอักเสบในร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ทำให้เซลล์ต่างๆ ได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ

ออยลี่แนะนำว่าไม่ต้องออกกำลังกายหนักมาก เดินเร็วประมาณ 30 นาทีก็เพียงพอแล้ว หรือจะว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก โยคะ หรือแม้แต่งานบ้านที่ต้องเคลื่อนไหวมาก เช่น ดูดฝุ่น ถูบ้าน ก็นับเป็นการออกกำลังกายได้ สำคัญ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน

  1. นอนหลับให้เพียงพอ

ขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะทำงานหนักในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย สร้างภูมิคุ้มกาน กำจัดสารพิษที่สะสมระหว่างวัน ระบบน้ำเหลืองจะทำงานอย่างเต็มที่ในการขนสารพิษออกจากสมอง กฎหมายธรรมชาติมีการนอนหลับที่เพียงพอ ประมาณ 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน

การนอนไม่เพียงพอจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ระดับฮอร์โมนความเครียดสูงขึ้น การอักเสบในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

  1. จัดการความเครียด

ความเครียดเรื้อรัง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งหลายชนิด เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไป ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเซลล์มะเร็งสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น 

การหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะกับตัวเองจึงสำคัญมาก บางคนชอบนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ สมาธิแม้แต่วันละ 10 – 15 นาที ก็ช่วยลดความเครียดได้มาก บางคนชอบฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย บางคนชอบทำงานอดิเรก เช่น ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร วาดรูป ที่ช่วยให้ลืมเรื่องที่กังวลไปชั่วขณะการคุยกับเพื่อนสนิท ระบายความรู้สึกก็สำคัญมาก อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว เพราะยิ่งเก็บยิ่งสะสม ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพมากขึ้น

  1. การตรวจสุขภาพประจำปี

มะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่มีอาการ รอจนมีอาการแล้วมักจะเป็นระยะที่รักษายากแล้ว ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่หรือเคยสูบ อายุมากกว่า 50 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปอด ทำงานสัมผัสสารเคมี

การตรวจ X-ray ปอด หรือ CT Scan ปอดแบบ Low dose สามารถตรวจพบมะเร็งปอดได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งยังรักษาหายได้ การตรวจพบแต่เนิ่นๆ เพิ่มโอกาสรักษาหายได้จาก 15% เป็น 80 – 90%

  1. ระวังสารเคมีในที่ทำงาน – ภัยที่มองข้ามไม่ได้

หลายอาชีพมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารก่อมะเร็งปอด เช่น งานก่อสร้าง งานโรงงานเคมี งานเชื่อม งานทาสี งานเหมืองแร่ ถ้าทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันให้ครบถ้วน เช่น หน้ากากกรองสารเคมี ชุดป้องกัน ถุงมือ ทำตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำมากกว่าคนทั่วไป

  1. การดื่มน้ำเพียงพอ

น้ำช่วยในการขนส่งสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ และช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ ไตต้องใช้น้ำในการกรองและขับสารพิษออกจากเลือด ปอดต้องใช้น้ำในการผลิตน้ำมูกที่ช่วยดักฝุ่นและเชื้อโรค ออยลี่แนะนำให้วัยทองควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 2 – 2.5 ลิตร หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหวาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เพราะจะเพิ่มภาระของตับและไตในการกำจัดสารพิษ

การป้องกันมะเร็งปอดไม่ได้การันตีว่าจะไม่เป็น 100% เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม การสัมผัสสารก่อมะเร็งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การทำตามข้อแนะนำเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้มากเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญคือทำให้เรามีสุขภาพดีโดยรวม มีพลังงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี อายุยืนขึ้น และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วย

และก่อนจากไปอีกเช่นเคย ออยลี่ได้ทำสรุปคำถามที่อาจจะยังคาใจคุณผู้อ่าน หรือคำถามที่หลายคนมักพบบ่อย แต่ไม่ได้คำตอบสักที

ถามตอบ
1. มะเร็งปอดติดต่อได้ไหม?มะเร็งปิดไม่ติดต่อค่ะ สามารถาอยู่ใกล้ชิดด้วยกัน ใช้ของร่วมกัน ไม่ทำให้ติดมะเร็ง ดังนั้น อย่าแยกตัวผู้ป่วย ควรให้กำลังใจเขาด้วยการอยู่เคียงข้าง
2. ไม่เคยสูบบุหรี่ ทำไมเป็นมะเร็งปอดได้?ประมาณ 20% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดไม่เคยสูบบุหรี่ สาเหตุอื่นๆ เช่น มลพิษ ควันมือสอง สารเคมี พันธุกรรม ก็ทำให้เป็นได้ 
3. เลิกบุหรี่แล้ว ยังเสี่ยงอยู่ไหม? ยังเสี่ยงอยู่ค่ะ แต่ความเสี่ยงจะลดลงเรื่อยๆ หลังเลิก 10 ปี ความเสี่ยงจะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังสูงกว่าคนที่ไม่เคยสูบ
4. มะเร็งปอดรักษาหายขาดได้ไหม?ถ้าพบในระยะแรก (ระยะ 1-2) และรักษาถูกวิธี มีโอกาสหายขาดได้สูง แต่ถ้าระยะลุกลาม การรักษาจะมุ่งเน้นควบคุมโรคให้อยู่นานที่สุด
5. ค่ารักษาแพงไหม?ต้องยอมรับว่าแพงค่ะ โดยเฉพาะยามุ่งเป้าและภูมิคุ้มกันบำบัด อาจเดือนละแสนขึ้นไป แต่มีหลายวิธีช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น…ใช้สิทธิประกันสุขภาพสิทธิ 30 บาท
ครอบคลุมการรักษาพื้นฐานประกันสังคมมียามะเร็งหลายตัวมูลนิธิต่างๆ ช่วยเหลือค่ายา
6. กินอะไรได้บ้าง/ห้ามกินอะไร?กินได้เกือบทุกอย่างเลยค่ะ แต่อยากให้เน้นอาหารมีประโยชน์ โปรตีนสูง ผักผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด ของทอด ของดอง เหล้าบุหรี่ อาหารสุกๆ ดิบๆ
7. ใช้สมุนไพรร่วมได้ไหม?ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ สมุนไพรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาเคมีบำบัด ทำให้ยาไม่ได้ผล หรือเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
8. ตรวจพบว่ามีก้อนที่ปอด จะเป็นมะเร็งแน่ไหม?ก้อนที่ปอดอาจเป็นก้อนน้ำ ก้อนไขมัน ฝี หรือเนื้องอกธรรมดา ต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น ตัดชิ้นเนื้อ ถึงจะรู้แน่ชัด
9. มะเร็งปอดระยะ 4 ยังมีหวังไหม?มีหวังค่ะ การรักษาปัจจุบันก้าวหน้ามาก ยามุ่งเป้า ภูมิคุ้มกันบำบัด ช่วยให้อยู่ได้นานขึ้น
10. ออกกำลังกายได้ไหมเมื่อเป็นมะเร็งปอด?ได้ค่ะ การออกกำลังกายช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น แต่ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพร่างกาย เริ่มจากเบาๆ ค่อยๆ เพิ่ม
11. ทำงานต่อได้ไหม? ขึ้นกับอาการและการรักษา ช่วงแรกอาจต้องหยุด พอร่างกายดีขึ้นก็กลับไปทำงานได้
12. การตรวจ CT Scan บ่อยๆ อันตรายไหม? CT Scan ใช้รังสี แต่ประโยชน์ที่ได้คุ้มค่ากับความเสี่ยง แพทย์จะพิจารณาความจำเป็นก่อนสั่งตรวจ
13. มะเร็งปอดกับโควิด-19 อันตรายไหม?ผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโควิด-19 ต้องระวังเป็นพิเศษ ฉีดวัคซีนครบ ใส่หน้ากาก หลีกเลี่ยงที่แออัด
14. ลูกหลานจะเป็นมะเร็งปอดตามไหม? มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นบ้างถ้าพ่อแม่เป็น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแน่ๆ การดูแลสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ช่วยลดโอกาสได้มาก
15. เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ?อามีอาการผิดปกติ เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก น้ำหนักลด ที่ไม่ดีขึ้นใน 2 – 3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ อย่ารอให้อาการหนัก

สรุป

มะเร็งปอดในปัจจุบันไม่ได้เป็นโรคของผู้สูงอายุหรือคนสูบบุหรี่เท่านั้นแล้ว คนอายุน้อยก็เสี่ยงมากขึ้นจากปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ ที่วัยทองยังคงเป็นกลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะร่างกายสะสมสารพิษมานาน ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง สิ่งสำคัญที่สุด คือ การป้องกัน เลิกบุหรี่ หลีกเลี่ยงมลพิษ ออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์ และที่สำคัญ คือ ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง การตรวจพบมะเร็งปอดตั้งแต่ระยะแรกจะมีโอกาสรักษาหายได้สูงมาก

สุดท้าย…อยากฝากให้ทุกคนดูแลสุขภาพ ใส่ใจกับสัญญาณที่ร่างกายส่งมา อย่ามองข้ามอาการผิดปกติ และอย่าลืมว่าสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต เมื่อเรายังมีโอกาส จงใช้มันให้ดีที่สุดขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายทุกชนิด และมีชีวิตที่มีความสุขในวัยทองนะคะ

         … เพราะร่างกายที่แข็งแรง

                                     ดูแลได้ด้วยดีเน่ DNAe …