วัยหมดประจำเดือน ช่วงเวลาสำคัญของผู้หญิงทุกคน

วัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่า “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของผู้หญิงทุกคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คุณผู้อ่านหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องน่ากลัว หรือเป็นสัญญาณของการเข้าสู่วัยชรา แต่แท้จริงแล้ว…วัยหมดประจำเดือนเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เปรียบเสมือนการปิดตำนานประจำเดือนที่อยู่คู่กับผู้หญิงมานับสิบปี

ในประเทศไทย…คนส่วนใหญ่มักเรียกผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนว่า “วัยทอง” ซึ่งสื่อถึงช่วงวัยที่มีคุณค่าและควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลเกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือนยังคงมีจำกัด ทำให้ผู้หญิงหลายคนเผชิญกับความไม่แน่นอนและความกังวล โดยเฉพาะเรื่องของอายุที่เหมาะสมในการหมดประจำเดือน แต่ต้องบอกใ้ห้ทุกท่านทราบก่อนว่าการเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่เป็นกระบวนการที่ค่อยๆ เกิดขึ้นและใช้เวลาหลายปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่

1. ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause)

เป็นช่วงเวลาก่อนที่ประจำเดือนจะหมดไปอย่างถาวร มักเริ่มขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุประมาณ 40 – 45 ปี แต่บางคนอาจเริ่มเข้าสู่ระยะนี้ตั้งแต่อายุ 35 ปี ในระยะนี้รังไข่จะเริ่มผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนลดลง ทำให้รอบเดือนเริ่มไม่สม่ำเสมอ บางเดือนอาจมามาก บางเดือนมาน้อย หรือบางเดือนอาจไม่มาเลย

นอกจากนี้…ผู้หญิงในช่วงนี้อาจเริ่มมีอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ช่องคลอดแห้ง และหงุดหงิดง่าย ระยะนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 2 – 10 ปี ก่อนจะเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนอย่างแท้จริง

2. ระยะหมดประจำเดือน (Menopause)

ระยะนี้…คือ จุดที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนติดต่อกันเป็นเวลา 12 เดือน โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 45 – 55 ปี อย่างไรก็ตาม แต่ละคนอาจเข้าสู่ระยะนี้ในช่วงอายุที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม สุขภาพโดยรวม และปัจจัยแวดล้อม 

ในระยะนี้ รังไข่จะหยุดการตกไข่อย่างถาวร และระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในร่างกาย ทั้งทางกายภาพและอารมณ์

3. ระยะหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause)

ระยะนี้…เริ่มต้นหลังจากที่ผู้หญิงไม่มีประจำเดือนเป็นเวลา 1 ปีขึ้นไป และจะคงอยู่ตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ ในระยะนี้อาการร้อนวูบวาบและอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหมดประจำเดือนอาจค่อยๆ ลดลง แต่ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อโรคหลายชนิด เช่น โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะสมองเสื่อม

คำถามที่พบบ่อยต่อมาเกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือน คือ 

“อายุเท่าไหร่ที่ประจำเดือนควรหมด?” 

คำตอบสั้นๆ คือ โดยทั่วไปอายุเฉลี่ยของการหมดประจำเดือนในผู้หญิงทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 51 ปี อย่างไรก็ตาม ช่วงอายุที่ถือว่าเป็นปกติสำหรับการหมดประจำเดือน คือ ระหว่างอายุ 45 – 55 ปี 

สำหรับผู้หญิงไทย…จากการศึกษาพบว่าอายุเฉลี่ยของการหมดประจำเดือนอยู่ที่ประมาณ 48 – 50 ปี ซึ่งอาจจะเร็วกว่าผู้หญิงในประเทศตะวันตกเล็กน้อย ความแตกต่างนี้อาจเกิดจากปัจจัยด้านพันธุกรรม อาหาร วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อม และอื่นๆ คือ

1. พันธุกรรม

พันธุกรรม เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดว่าคุณผู้อ่านจะหมดประจำเดือนเมื่อไหร่ โดยทั่วไป ผู้หญิงมักจะหมดประจำเดือนในช่วงอายุใกล้เคียงกับมารดา หรือพี่น้องผู้หญิงของตน หากมารดาของคุณผู้อ่านหมดประจำเดือนเร็ว คุณผู้อ่านก็มีแนวโน้มที่จะหมดประจำเดือนเร็วเช่นกัน

2. อายุเมื่อเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก

มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุน้อย มีแนวโน้มที่จะหมดประจำเดือนช้ากว่าผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนเมื่ออายุมากกว่า อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นกฎตายตัวและอาจมีข้อยกเว้น

3. การสูบบุหรี่

ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มักจะหมดประจำเดือนเร็วกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ประมาณ 1 – 2 ปี เนื่องจากสารพิษในบุหรี่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรังไข่และฮอร์โมนเพศหญิง ยิ่งสูบมากและสูบนาน ยิ่งมีโอกาสหมดประจำเดือนเร็วขึ้น

4. น้ำหนักตัว

น้ำหนักตัว มีผลต่ออายุการหมดประจำเดือนเช่นกัน ผู้หญิงที่มีน้ำหนักน้อย หรือผอมมากเกินไป (BMI ต่ำกว่า 18.5) มีแนวโน้มที่จะหมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ ในขณะที่ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน (BMI สูงกว่า 30) อาจหมดประจำเดือนช้ากว่า เนื่องจากไขมันในร่างกายสามารถผลิตเอสโตรเจนได้

5. ประวัติการมีบุตร

ผู้หญิงที่ไม่เคยมีบุตรหรือไม่เคยตั้งครรภ์ มีแนวโน้มที่จะหมดประจำเดือนเร็วกว่าผู้หญิงที่เคยมีบุตร การตั้งครรภ์และการให้นมบุตรทำให้มีการหยุดชั่วคราวของการตกไข่ ซึ่งอาจช่วยชะลอการสูญเสียไข่ตามธรรมชาติ

6. การใช้ยาคุมกำเนิด

ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเป็นเวลานาน อาจสังเกตอาการของการหมดประจำเดือนได้ยากกว่า เนื่องจากฮอร์โมนสังเคราะห์ในยาคุมกำเนิดอาจปิดบังสัญญาณการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม…การใช้ยาคุมกำเนิดไม่ได้ทำให้อายุที่แท้จริงของการหมดประจำเดือนเปลี่ยนแปลงไป

7. โรคประจำตัวและการรักษา

โรคบางชนิด เช่น โรคของระบบภูมิคุ้มกัน โรคต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน อาจส่งผลต่ออายุการหมดประจำเดือน นอกจากนี้ การรักษาบางอย่าง เช่น การได้รับเคมีบำบัดหรือการฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน อาจทำให้เกิดภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร

8. วิถีชีวิตและปัจจัยแวดล้อม

ความเครียดเรื้อรัง การนอนหลับไม่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล การขาดการออกกำลังกาย รวมถึงการสัมผัสกับมลพิษหรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออายุการหมดประจำเดือน

จากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่าอายุที่เหมาะสมของการหมดประจำเดือนอยู่ในช่วง 45 – 55 ปี โดยเฉลี่ยประมาณ 51 ปี การหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี ถือว่าเร็วเกินไปและเรียกว่า “ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางประการ

ในทางกลับกัน การหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี ถือว่าช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าผิดปกติเสมอไป แต่การมีประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งเต้านม ที่สำคัญ แม้ว่าจะมีช่วงอายุที่ถือว่าเป็น “ปกติ” สำหรับการหมดประจำเดือน แต่ทุกคนมีความแตกต่างกัน การหมดประจำเดือนเร็วหรือช้ากว่าค่าเฉลี่ยไม่ได้หมายความว่าผิดปกติเสมอไป แต่ควรได้รับการประเมินและติดตามอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาสุขภาพแอบแฝง

การหมดประจำเดือนเร็วเกินไป (ก่อนวัย 40 ปี)

เมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะหมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร” หรือ “ภาวะรังไข่หมดสภาพก่อนวัย” ซึ่งพบได้ประมาณ 1% ของประชากรผู้หญิงทั่วไป การหมดประจำเดือนเร็วเกินไปเป็นเรื่องที่น่ากังวลและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในหลายด้าน

1. ผลกระทบทางกายภาพ

  • ภาวะกระดูกพรุน
  • ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและเส้นผม
  • การลดลงของมวลกล้ามเนื้อ

2. ผลกระทบทางจิตใจ

  • ภาวะซึมเศร้า
  • ความวิตกกังวล
  • ความรู้สึกสูญเสียความเป็นหญิง
  • ผลกระทบต่อความมั่นใจในตนเอง

3. ผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์

  • การมีบุตรยากหรือเป็นหมัน
  • ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
  • ความเครียดจากปัญหาการมีบุตร

การหมดประจำเดือนช้าเกินไป (หลัง 55 ปี)

การหมดประจำเดือนหลังอายุ 55 ปี ถือว่าเป็นการหมดประจำเดือนที่ช้ากว่าปกติ แม้จะไม่ได้หมายความว่าผิดปกติเสมอไป แต่ก็มีความเสี่ยงบางประการที่ควรคำนึงถึง

1. ความเสี่ยงทางสุขภาพ

  • เพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม
  • เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ภาวะดื้ออินซูลิน
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด

2. การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

  • การผลิตเอสโตรเจนที่ยังคงดำเนินต่อไป
  • ผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์
  • การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อในช่องคลอด

โดยในระหว่างที่กำลังจะหมดประจำเดือน ทางการแพทย์จะเรียกว่า “ระยะก่อนหมดประจำเดือน หรือ Perimenopause” เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญก่อนที่จะเข้าสู่การหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์ ระยะนี้เป็นช่วงที่รังไข่เริ่มผลิตฮอร์โมนลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ มักเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 40 – 45 ปี หรือในบางรายอาจเริ่มตั้งแต่อายุ 35 ปี ระยะนี้อาจใช้เวลา 2 – 10 ปี ก่อนเข้าสู่การหมดประจำเดือนอย่างสมบูรณ์

แล้วอาการใดบ้าง? ที่พบได้บ่อยในวัยหมดประจำเดือน…

อาการที่พบบ่อยในวัยหมดประจำเดือน

วัยหมดประจำเดือนมาพร้อมกับอาการที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไป บางคนอาจมีอาการรุนแรง บางคนอาจแทบไม่มีอาการ เริ่มต้นที่…

อาการทางร่างกาย

1. ร้อนวูบวาบ

  • อาการร้อนวูบวาบเฉียบพลัน
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • อาการอาจกินเวลานาน 1-5 นาที
  • เกิดได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

2. เหงื่อออกตอนกลางคืน

  • เหงื่อออกมากตอนนอน
  • การนอนหลับถูกรบกวน
  • เสื้อผ้าและที่นอนเปียกชื้น
  • ส่งผลต่อคุณภาพการนอน

3. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและเส้นผม

  • ผิวแห้งและบางลง
  • การสูญเสียความยืดหยุ่นของผิว
  • เส้นผมบางลงและร่วง
  • เล็บเปราะและแตกง่าย

4. น้ำหนักและการเผาผลาญ

  • เมแทบอลิซึมช้าลง
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นง่าย
  • การสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง
  • การออกกำลังกายยากขึ้น

5. การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะสืบพันธุ์

  • ช่องคลอดแห้งและระคายเคือง
  • การลดลงของความยืดหยุ่น
  • การเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ
  • ปัญหาความต้องการทางเพศ

อาการทางอารมณ์และจิตใจ

1. อารมณ์แปรปรวน

  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
  • หงุดหงิดและโกรธง่าย
  • มีความรู้สึกหดหู่
  • ขาดความมั่นใจ

2. ภาวะซึมเศร้า

  • ความรู้สึกหดหู่และท้อแท้
  • ขาดความกระตือรือร้น
  • ความรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตนเอง
  • มีแนวโน้มที่จะแยกตัวจากสังคม

3. ปัญหาสมาธิและความจำ

  • ความจำถดถอย
  • สมาธิสั้นลง
  • การตัดสินใจยากขึ้น
  • ความสับสนและหลงลืมง่าย

อาการทางระบบประสาทและการนอน

1. ปัญหาการนอน

  • นอนไม่หลับ
  • ตื่นบ่อยตอนกลางคืน
  • คุณภาพการนอนแย่ลง
  • ความเหนื่อยล้าในระหว่างวัน

2. อาการปวดและความรู้สึกทางระบบประสาท

  • ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
  • อาการชาตามปลายมือปลายเท้า
  • ปวดศีรษะไมเกรน
  • อาการวิงเวียนศีรษะ

อาการทางระบบอื่นๆ

1. ระบบหัวใจและหลอดเลือด

  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
  • เสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

2. ระบบทางเดินอาหาร

  • ท้องผูก
  • กรดไหลย้อน
  • การย่อยอาหารเปลี่ยนแปลง
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น

3. ระบบสืบพันธุ์

  • การหล่อลื่นลดลง
  • ความต้องการทางเพศลดลง
  • การมีเพศสัมพันธุ์เจ็บปวด
  • การติดเชื้อระบบสืบพันธุ์ง่ายขึ้น

แม้ว่าอาการในวัยหมดประจำเดือนจะดูเหมือนน่ากังวล แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจว่านี่เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญ การเรียนรู้ทำความเข้าใจ และการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้หญิงก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

เมื่อประจำเดือนจะส่งผลกระทบอะไรต่อร่างกายได้บ้าง?

การหมดประจำเดือน ส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ลดลงอย่างมากมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ นอกเหนือจากระบบสืบพันธุ์ ผลกระทบเหล่านี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจมีอาการรุนแรง ในขณะที่บางคนแทบไม่มีอาการใดๆ เลย

1. ผลกระทบต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกระดูกของผู้หญิง เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงหมดประจำเดือน จะส่งผลให้…

  • มวลกระดูกลดลงอย่างรวดเร็ว
    ช่วง 5 – 7 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน ผู้หญิงอาจสูญเสียมวลกระดูกถึง 20% ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน และกระดูกหักง่าย โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ
  • กล้ามเนื้อลดลง
    มวลกล้ามเนื้อมีแนวโน้มลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจเร่งกระบวนการนี้ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเหนื่อยง่ายขึ้น
  • ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
    ผู้หญิงหลายคนรายงานอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ และข้อฝืดในช่วงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลต่อการอักเสบและการสร้างของเหลวในข้อต่อ

2. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

ก่อนวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าผู้ชายในวัยเดียวกัน แต่หลังจากหมดประจำเดือน ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องมาจาก…

  • ระดับไขมันในเลือดเปลี่ยนแปลง
    เอสโตรเจนช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ให้สูงและคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) ให้ต่ำ เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางตรงกันข้าม เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ความดันโลหิตสูงขึ้น
    ความดันโลหิตมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังจากหมดประจำเดือน
  • หลอดเลือดแข็งตัว
    เอสโตรเจนช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่น เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลง หลอดเลือดจะแข็งตัวมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

3. ผลกระทบต่อระบบอวัยวะสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ

การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นกับอวัยวะในระบบสืบพันธุ์…

  • ช่องคลอดแห้งและบางลง
    เยื่อบุช่องคลอดบางลงและผลิตสารหล่อลื่นน้อยลง ทำให้เกิดอาการแห้ง คัน แสบ และเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • การเปลี่ยนแปลงของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
    มดลูก รังไข่ และท่อนำไข่หดตัวเล็กลง เต้านมอาจเหี่ยวย้อยลงเนื่องจากการลดลงของเนื้อเยื่อต่อมและเนื้อเยื่อไขมัน
  • ปัญหาทางเดินปัสสาวะ
    เนื้อเยื่อของท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะบางลง ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะเล็ด ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะง่าย และมีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ
  • กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอ
    อาจนำไปสู่ภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่เคยผ่านการคลอดบุตรหลายครั้ง

4. ผลกระทบต่อผิวหนังและเส้นผม

ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวหนัง

  • ผิวหนังแห้งและบางลง
    คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังลดลง ทำให้ผิวบางลง แห้ง และเกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • ความยืดหยุ่นลดลง
    ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นและหย่อนคล้อย
  • เส้นผมบางลง
    ผู้หญิงบางคนอาจสังเกตเห็นว่าเส้นผมบางลงและร่วงง่ายขึ้น ในขณะที่ขนในบางบริเวณ เช่น ใบหน้า อาจหนาและแข็งขึ้น

5. ผลกระทบต่อระบบเผาผลาญและน้ำหนักตัว

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญของร่างกาย

  • อัตราการเผาผลาญลดลง
    ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย แม้จะรับประทานอาหารและออกกำลังกายเหมือนเดิม
  • การกระจายของไขมันเปลี่ยนแปลง
    ไขมันมักสะสมบริเวณหน้าท้องมากกว่าสะโพกและต้นขา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเมตาบอลิกซินโดรมและโรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • มวลกล้ามเนื้อลดลง
    ส่งผลให้พลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวันลดลง

6. ผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง

เอสโตรเจนมีบทบาทในการปกป้องระบบประสาทและสมอง การลดลงของฮอร์โมนนี้อาจส่งผลให้…

  • ความจำและสมาธิเปลี่ยนแปลง
    ผู้หญิงบางคนรายงานว่ามีปัญหาด้านความจำระยะสั้น ความสามารถในการจดจ่อ และ “สมองล้า”
  • ความเสี่ยงต่อโรคระบบประสาทเพิ่มขึ้น
    การลดลงของเอสโตรเจนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว
  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
    การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมองอาจส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และอารมณ์แปรปรวน

7. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

ฮอร์โมนเพศมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน…

  • การอักเสบเพิ่มขึ้น
    การลดลงของเอสโตรเจนอาจเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด
  • โรคภูมิแพ้และภูมิแพ้ตัวเอง
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจส่งผลให้อาการของโรคภูมิแพ้และโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง เช่น โรคไทรอยด์อักเสบ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เปลี่ยนแปลงไป

สิ่งสำคัญ คือ ต้องตระหนักว่าผลกระทบของการหมดประจำเดือนไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องทนทุกข์โดยไม่จำเป็น การพูดคุยกับแพทย์เพื่อหาวิธีจัดการที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลจะช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่นและมีสุขภาพที่ดี

และเมื่อเกิดผลกระทบต่อร่างกายแล้ว การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน โดยเฉพาะการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ไม่เพียงส่งผลให้เกิดอาการร้อนวูบวาบหรืออารมณ์แปรปรวนเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ หลายชนิด ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนควรตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้และหาวิธีป้องกันอย่างเหมาะสม โรคที่มักพบในวัยนี้ คือ

1. โรคกระดูกพรุน

เพราะ เอสโตรเจน มีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกระดูก เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 5 – 7 ปีหลังจากหมดประจำเดือน ผู้หญิงอาจสูญเสียมวลกระดูกได้ถึง 20% ทำให้กระดูกบางลง เปราะ และแตกหักง่าย 

โรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการในระยะแรกจนกว่าจะเกิดกระดูกหัก โดยบริเวณที่มักเกิดกระดูกหักได้ง่าย ได้แก่ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง และข้อมือ การหักของกระดูกในผู้สูงอายุอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตได้

การป้องกันโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว
  • รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ ทั้งจากแสงแดดและอาหารเสริม
  • ออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิค
  • ทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังและสะโพก
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
  • พิจารณาการใช้ฮอร์โมนทดแทนภายใต้การดูแลของแพทย์

2. โรคหัวใจและหลอดเลือด

ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคหัวใจโดยรักษาระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและความยืดหยุ่นของหลอดเลือด เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลง ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนมีแนวโน้มที่จะมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) สูงขึ้น และระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง

การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

  • รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่มีไขมันดีจากปลาทะเล น้ำมันมะกอก ถั่ว และเมล็ดพืช
  • จำกัดปริมาณเกลือและน้ำตาล
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ตรวจวัดความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือดเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

3. โรคเบาหวานชนิดที่ 2

การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลต่อการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกาย ทำให้ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในวัยนี้ เช่น การเพิ่มขึ้นของไขมันบริเวณหน้าท้อง ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานเช่นกัน

การป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2

  • รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เน้นผัก ผลไม้ โปรตีนคุณภาพดี และธัญพืชไม่ขัดสี
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอทั้งแบบแอโรบิคและการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
  • ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
  • จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

4. มะเร็งเต้านมและมะเร็งในระบบสืบพันธุ์

แม้ว่าการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด แต่อายุที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในวัยหมดประจำเดือนก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งมดลูก

สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนหมดช้า (หลังอายุ 55 ปี) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกสูงกว่า เนื่องจากได้รับอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นระยะเวลานานกว่า

การป้องกันมะเร็ง

  • ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจแมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจภายในและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามคำแนะนำของแพทย์
  • สังเกตความผิดปกติของเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักและผลไม้สดหลากสี
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

5. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เนื้อเยื่อในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะอาจอ่อนแรงลง ทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือออกกำลังกาย

การป้องกันและรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

  • ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้ปัสสาวะบ่อย
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเฉพาะที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรักษาอื่นๆ เช่น การผ่าตัดเสริมความแข็งแรงของอุ้งเชิงกราน

6. ภาวะสมองเสื่อม

ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีผลต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท โดยช่วยปกป้องเซลล์สมองและกระตุ้นการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลง จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์

มีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนวัยอันควร (ก่อนอายุ 40 ปี) มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงกว่าผู้หญิงที่หมดประจำเดือนในช่วงอายุปกติ

การป้องกันภาวะสมองเสื่อม

  • รับประทานอาหารตามแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพสมอง
  • ฝึกสมองด้วยกิจกรรมที่ท้าทายความคิด เช่น เล่นเกมปริศนา เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง
  • มีกิจกรรมทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ
  • นอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ
  • จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

7. โรคต้อกระจก

ฮอร์โมนเพศหญิงมีความสัมพันธ์กับสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะการช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจก เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงในวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกเพิ่มขึ้น

การป้องกันโรคต้อกระจก

  • สวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้เมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินซี วิตามินอี และลูทีน
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

8. ปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน

การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลต่อความหนาแน่นของกระดูกขากรรไกร ทำให้เกิดปัญหาเหงือกร่น ฟันโยก และอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการปากแห้ง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุและเชื้อราในช่องปาก

การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน

  • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
  • ใช้ยาน้ำลายเทียมหากมีอาการปากแห้ง
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ
  • จิบน้ำบ่อยๆ เพื่อให้ช่องปากชุ่มชื้น

ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองและตรวจพบโรคต่างๆ แต่เนิ่นๆ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม ทั้งด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักผ่อน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ ไม่ควรละเลยสัญญาณเตือนต่างๆ ที่ร่างกายส่งมา ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ

แล้วเราจะรักษาอาการ “วัยทอง” ได้อย่างไรบ้าง?

“ภาวะวัยทอง” เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามที่เราได้เล่าให้ฟังไปก่อนหน้านี้ การรักษาและบรรเทาอาการวัยทองมีหลายวิธี ทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา โดยแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความต้องการของแต่ละบุคคล

1. การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT)

การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน เป็นการให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อทดแทนฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตลดลง วิธีนี้ช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน และอาการแห้งของช่องคลอด การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนมีหลายรูปแบบ เช่น…

  • ยาเม็ดรับประทาน
  • แผ่นแปะที่ผิวหนัง
  • เจลหรือครีมทาผิวหนัง
  • วงแหวนคลอด
  • ยาเหน็บช่องคลอด

อย่างไรก็ตาม…การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทนอาจไม่เหมาะกับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือมีประวัติการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน การตัดสินใจใช้ฮอร์โมนทดแทนควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ที่จะได้รับ

2. การรักษาด้วยยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมน

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการใช้ฮอร์โมนทดแทน มีทางเลือกในการใช้ยาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการวัยทอง เช่น…

  • ยากลุ่ม SSRI และ SNRI
    ยาต้านเศร้าบางชนิด เช่น ฟลูออกซีทีน หรือเวนลาฟาซีน ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบได้
  • ยาคลอนิดีน
    ช่วยลดความดันโลหิตและอาจช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ
  • ยากาบาเพนติน
    ยาที่ใช้รักษาอาการปวดเส้นประสาทและโรคลมชัก แต่ก็ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบได้เช่นกัน
  • ยาบิสฟอสโฟเนต
    ใช้ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นภาวะที่พบบ่อยในวัยหมดประจำเดือน
  • ยาเฉพาะที่สำหรับอาการช่องคลอดแห้ง
    มีครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนในปริมาณต่ำหรือสารหล่อลื่นที่ไม่มีฮอร์โมนเพื่อบรรเทาอาการแห้งของช่องคลอด
    *ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน และควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา

3. การรักษาทางเลือกและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

นอกจากการรักษาด้วยยา การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการใช้การรักษาทางเลือกสามารถช่วยบรรเทาอาการวัยทองได้ ดังนี้

การปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการร้อนวูบวาบ

  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น อาหารเผ็ด อาหารร้อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน
  • แต่งกายเป็นชั้นๆ ที่สามารถถอดออกได้เมื่อรู้สึกร้อน
  • ใช้พัดลมขนาดเล็กหรืออยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
  • ฝึกเทคนิคการหายใจลึกๆ เมื่อเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
  • การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • โยคะหรือไทชิ ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความยืดหยุ่น

การรับประทานอาหารที่เหมาะสม

  • เน้นอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เพื่อป้องกันกระดูกพรุน
  • รับประทานอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการบางอย่างได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลง
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

การจัดการความเครียด

  • ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ
  • นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • พยายามรักษาตารางการนอนที่สม่ำเสมอ

สมุนไพรและอาหารเสริม

  • สมุนไพรบางชนิด เช่น แบล็คโคฮอช โสมอเมริกัน อาจช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนรองรับ
  • แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก
  • วิตามินอี อาจช่วยลดอาการร้อนวูบวาบในบางราย

4. การดูแลสุขภาพจิต

สุขภาพจิต เป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงวัยทอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึก การดูแลสุขภาพจิตในช่วงนี้ทำได้โดย…

  • พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ เช่น เพื่อน ครอบครัว
  • ปรึกษานักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ หากมีอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลรุนแรง
  • ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • ฝึกการยอมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และมองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติ

ที่สำคัญ…การรักษาและบรรเทาอาการวัยทองควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด การตรวจสุขภาพประจำปีและการพูดคุยกับแพทย์อย่างเปิดเผยเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นจะช่วยให้การดูแลสุขภาพในช่วงวัยนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือน

และเพื่อเป็นการสรุปให้ทุกคนเข้าใจกันอย่างถูกต้องส่งท้าย เพราะเชื่อว่ายังมีความเชื่อผิดๆ มากมายที่ทำให้หลายคนเกิดความเข้าใจผิดและความกังวลโดยไม่จำเป็น การทำความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือนจะช่วยให้ผู้หญิงรับมือกับช่วงเวลานี้ได้ดีขึ้น 

1. วัยหมดประจำเดือนเป็นสัญญาณของความชรา

หลายคนเชื่อว่าการหมดประจำเดือน เป็นสัญญาณของความแก่และความเสื่อมถอย

  • ความจริง… วัยหมดประจำเดือนเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายถึงความชราหรือการสิ้นสุดของความเป็นหญิง ในปัจจุบันผู้หญิงมีอายุเฉลี่ยที่ยาวนานกว่าในอดีตมาก หลายคนพบว่าช่วงหลังหมดประจำเดือนกลับเป็นช่วงที่มีอิสระ กระฉับกระเฉง และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

2. วัยหมดประจำเดือนทำให้ความต้องการทางเพศหมดไป

ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จะไม่มีความต้องการทางเพศอีกต่อไป

  • ความจริง… แม้ว่าฮอร์โมนที่ลดลงอาจส่งผลต่อความต้องการทางเพศในระยะแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าความต้องการทางเพศจะหมดไปโดยสิ้นเชิง หลายคนยังคงมีชีวิตทางเพศที่ดีและมีความพึงพอใจหลังจากหมดประจำเดือน การใช้สารหล่อลื่นช่องคลอด การรักษาด้วยฮอร์โมนเฉพาะที่ และการพูดคุยอย่างเปิดเผยกับคู่ของคุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ บางคนพบว่าการไม่ต้องกังวลเรื่องการคุมกำเนิดกลับทำให้ชีวิตรักดีขึ้นด้วยซ้ำ

3. อาการร้อนวูบวาบเกิดขึ้นกับทุกคนและรุนแรงเท่ากัน

ผู้หญิงทุกคนจะต้องประสบกับอาการร้อนวูบวาบอย่างรุนแรง เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน

  • ความจริง… ประสบการณ์ของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกันมาก มีผู้หญิงประมาณ 20 – 25% ที่ไม่เคยมีอาการร้อนวูบวาบเลย บางคนมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนมีอาการรุนแรงมาก ความถี่และความรุนแรงของอาการร้อนวูบวาบยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม รูปแบบการใช้ชีวิต และความเครียด

4. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ทุกคนจะต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวในช่วงวัยหมดประจำเดือน

  • ความจริง… แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้การกระจายตัวของไขมันในร่างกายเปลี่ยนไป โดยมักสะสมบริเวณหน้าท้องมากขึ้น แต่การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การเผาผลาญที่ช้าลงตามอายุ การลดลงของมวลกล้ามเนื้อ และการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต มีส่วนสำคัญมากกว่า การรับประทานอาหารสุขภาพและการออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ฮอร์โมนทดแทนเป็นอันตรายเสมอ

การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT) เป็นอันตรายและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเสมอ

  • ความจริง… ความเข้าใจผิดนี้เกิดจากการตีความผลวิจัยแบบกว้างเกินไป ในความเป็นจริง ประโยชน์และความเสี่ยงของ HRT แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ ระยะเวลาหลังหมดประจำเดือน ประวัติสุขภาพ และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
    สำหรับผู้หญิงที่มีอาการรุนแรงและมีอายุน้อยกว่า 60 ปีหรือเพิ่งหมดประจำเดือนไม่เกิน 10 ปี การใช้ HRT ในขนาดต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพและในระยะเวลาสั้นที่สุดอาจให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ

6. หมดประจำเดือนแล้วไม่ต้องตรวจสุขภาพบ่อย

เมื่อหมดประจำเดือนแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพบสูตินรีแพทย์หรือตรวจภายในอีกต่อไป

  • ความจริง… การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากความเสี่ยงต่อโรคหลายชนิดเพิ่มสูงขึ้น เช่น โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งบางชนิด การตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และการประเมินสุขภาพกระดูกยังคงมีความจำเป็น การพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ตรวจพบปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

7. วัยหมดประจำเดือนทำให้ปัญหาสุขภาพจิตแย่ลง

วัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • ความจริง… แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึก แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ปัจจัยทางสังคมและจิตวิทยา เช่น ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง ความเครียดในชีวิต การนอนไม่หลับ และปัจจัยอื่นๆ มีผลมากกว่า 

8. การหมดประจำเดือนหมายถึงการหมดความเป็นหญิง

การหมดประจำเดือน ทำให้สูญเสียความเป็นผู้หญิงและความดึงดูดทางเพศ

  • ความจริง… ความเป็นหญิงไม่ได้ถูกกำหนดด้วยการมีประจำเดือน หรือความสามารถในการมีบุตร ความเป็นตัวตน คุณค่า และเสน่ห์ของผู้หญิงมาจากสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย เช่น บุคลิกภาพ ประสบการณ์ชีวิต ความรู้ ทักษะ และความเข้าใจตนเอง หลายคนพบว่าช่วงหลังหมดประจำเดือนกลับเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นพบตัวเอง การเติบโตทางจิตวิญญาณ และการยอมรับตัวเองมากขึ้น

9. ทุกคนมีประสบการณ์วัยหมดประจำเดือนเหมือนกันหมด

ผู้หญิงทุกคนจะมีอาการและประสบการณ์เกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือนเหมือนกัน

  • ความจริง… ประสบการณ์ของผู้หญิงแต่ละคนแตกต่างกันมาก บางคนแทบไม่มีอาการใดๆ เลย ในขณะที่บางคนมีอาการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ปัจจัยที่มีผล ได้แก่ พันธุกรรม วิถีชีวิต อาหาร การออกกำลังกาย ระดับความเครียด วัฒนธรรม และทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่นอาจมีประโยชน์ แต่ไม่ควรคาดหวังว่าประสบการณ์ของตนเองจะเหมือนกับคนอื่นทั้งหมด

เชื่อว่าอ่านมาถึงตรงจุดนี้ คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะเข้าใจวัยหมดประจำเดือนได้ดีมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการบรรเทาอาการต่างๆ หรือความกังวลของอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทอง เราก็มีผลิตภัณฑ์ดีๆ มาแนะนำอีกเช่นเคย ซึ่งตัวนี้เขาคิดค้นและผลิตขึ้นมาเพื่อคนวัยทอง หรือท่านไหนที่กำลังจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนโดยเฉพาะ นั่นก็คือ…

“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับคุณผู้หญิงวัยทอง เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้หญิงวัยทอง การหมดประจำเดือนไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติ แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่ผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญ โดยผลิตภัณ์ตัวนี้ได้รวบรวมสารสกัดจากธรรมชาติ 6 ชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยหมดประจำเดือน

  • 1. สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศสเปน

ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืนที่เป็นอาการทั่วไปในวัยหมดประจำเดือนได้ การที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างมากในช่วงวัยทองเป็นสาเหตุหลักของอาการเหล่านี้ ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองจึงทำหน้าที่เสมือนฮอร์โมนทดแทนจากธรรมชาติ

2. สารสกัดจากตังกุย

ตังกุยหรือโสมตังกุย เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน มีสรรพคุณในการช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ในช่วงก่อนหมดประจำเดือนที่รอบเดือนอาจไม่สม่ำเสมอและมีอาการปวดรุนแรง ตังกุยช่วยลดอาการเหล่านี้และยังช่วยบำรุงเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่อาจมีภาวะโลหิตจางในช่วงวัยทอง

3. สารสกัดจากแปะก๊วย

แปะก๊วย มีคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะไปยังสมอง ช่วยปรับปรุงความจำและความสามารถในการรับรู้ ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงหลายคนมักประสบกับภาวะ “สมองล้า” อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แปะก๊วยช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมที่เพิ่มขึ้นในวัยหลังหมดประจำเดือน

4. สารสกัดจากงาดำ

งาดำ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงกระดูกซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเนื่องจากระดับเอสโตรเจนที่ลดต่ำลง นอกจากนี้ งาดำยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอย และส่งเสริมสุขภาพเส้นผม ซึ่งมักเสื่อมสภาพในช่วงวัยนี้

5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่ 

แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและมีคุณสมบัติในการป้องกันการเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ในช่วงวัยหมดประจำเดือน เมื่อระดับเอสโตรเจนลดลง เยื่อบุทางเดินปัสสาวะจะบางลง ทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่าย แครนเบอร์รี่จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะในช่วงวัยทอง

6. อินูลิน พรีไบโอติก

อินูลิน เป็นเส้นใยอาหารประเภทพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ สุขภาพลำไส้มีความเชื่อมโยงกับสมดุลฮอร์โมนโดยตรง เนื่องจากเอนไซม์ในลำไส้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมแทบอลิซึมของฮอร์โมนเอสโตรเจน การมีจุลินทรีย์ในลำไส้ที่สมดุลจึงช่วยบรรเทาอาการของวัยทองได้ นอกจากนี้ พรีไบโอติกยังช่วยป้องกันอาการท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยหมดประจำเดือน

*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

“ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รวบรวมสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์หลากหลายด้านสำหรับผู้หญิงวัยทอง ตั้งแต่การช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ การปรับสมดุลฮอร์โมน การบำรุงกระดูก ไปจนถึงการดูแลสุขภาพสมองและระบบทางเดินปัสสาวะ โดยคุณผู้อ่านสามารถรับประทานง่ายๆ เพียงวันละ 1 เม็ด หลังอาหารมื้อที่สะดวก

อย่างไรก็ตาม…การดูแลสุขภาพในวัยหมดประจำเดือนต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม ทั้งจากภายในด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมาะสม เพื่อให้ผ่านช่วงวัยทองได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

สรุป

วัยหมดประจำเดือนเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของผู้หญิงทุกคน ไม่ต่างจากการเข้าสู่วัยรุ่นหรือการตั้งครรภ์ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจมาพร้อมกับความท้าทายและอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ แต่การเตรียมตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้คุณก้าวผ่านช่วงเวลานี้ได้อย่างราบรื่น

ดังนั้น การเข้าใจความจริงเกี่ยวกับวัยหมดประจำเดือนจะช่วยลดความกังวลและช่วยให้ผู้หญิงเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น การศึกษาหาข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่ผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว จะช่วยให้คุณก้าวผ่านวัยทองได้อย่างมั่นใจและมีสุขภาพที่ดี