เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำเตือนจากแม่ ยาย หรือญาติผู้ใหญ่ว่า “ประจำเดือนมาแล้วห้ามดื่มน้ำเย็น” และพอถามเหตุผลก็จะได้คำตอบแบบนี้ “ดื่มน้ำเย็นแล้วประจำเดือนจะหยุด” หรือ “น้ำเย็นทำให้เลือดแข็งตัวในมดลูก” หรือ “ดื่มน้ำเย็นแล้วจะปวดท้องมากขึ้น” บางครั้งยังมีการเล่าต่อกันว่า “น้ำเย็นจะทำให้มดลูกหดตัว เลือดจะไหลไม่ออก”
ความเชื่อเหล่านี้มันฟังดูน่ากลัวมากๆ และที่สำคัญมันถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสิ่งที่หลายคนเชื่อและปฏิบัติตามโดยไม่เคยสงสัย แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันที่เรามีความรู้ทางการแพทย์ที่ทันสมัยแล้ว ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่ยังคงยึดถือความเชื่อนี้อยู่ แต่รู้ไหมว่าในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อเรื่องนี้ไม่ได้มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับเลย ก่อนอื่นอยากให้คุณผู้ทุกท่านต้องเข้าใจก่อนว่าความเชื่อเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ในสมัยที่ยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์ที่ชัดเจน ผู้คนจึงพึ่งพาประสบการณ์และการสังเกตเพื่อหาคำอธิบายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หากมีใครเคยดื่มน้ำเย็นแล้วเกิดอาการไม่สบาย เช่น ปวดท้อง หรือรู้สึกไม่ดี ก็จะเชื่อมโยงว่าน้ำเย็นเป็นสาเหตุ
นอกจากนี้ในวัฒนธรรมเอเชีย รวมทั้งไทย เรายังมีความเชื่อเรื่อง “ร้อน-เย็น” ของอาหารและเครื่องดื่ม โดยเชื่อว่าสิ่งที่เย็นจะส่งผลเสียต่อร่างกายผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกาย “อ่อนแอ” เช่น ช่วงประจำเดือน ช่วงหลังคลอด หรือช่วงฟื้นตัวจากการเจ็บป่วย ความเชื่อนี้จึงฝังรากลึกในจิตใจของผู้คนมาหลายชั่วอายุคน
ทำความรู้จักกับระบบประจำเดือนของผู้หญิง
ก่อนที่เราจะมาตอบคำถามว่าน้ำเย็นมีผลต่อประจำเดือนหรือไม่? เราอยากพาคุณผู้อ่านทุกท่านมาทำความเข้าใจกับระบบประจำเดือนกันก่อน เพราะการที่เราเข้าใจการทำงานของร่างกายเราเองจะช่วยให้เราตัดสินใจและดูแลตัวเองได้ดีขึ้น
วงจรประจำเดือนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและน่าทึ่งมากๆ ซึ่งเกิดขึ้นในร่างกายผู้หญิงทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือนจนถึงวัยหมดประจำเดือน กระบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของร่างกายในการสืบพันธุ์ โดยเฉลี่ยแล้ววงจรประจำเดือนจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน แต่ในความเป็นจริงแล้ววงจรที่มีระยะเวลา 21 – 35 วันก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในบางคนก็มีความยาวของวงจรนี้แตกต่างกันไป และแม้กระทั่งในคนเดียวกันก็อาจมีความแปรผันเล็กน้อยได้ ซึ่งการมามากมาน้อยนี้ก็อาจทำให้หลายคนโดยเฉพาะในใกล้เข้าสู่วัยทองเกิดความกังวลถึงความปกติของการหมดประจำเดือนได้ว่าควรหมดที่อายุเท่าไหร่ 02:05/68 โดยวงจรประจำเดือนแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ ซึ่งแต่ละระยะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและอวัยวะสืบพันธุ์ที่แตกต่างกัน
- ระยะแรก
ระยะประจำเดือน หรือที่เรียกว่า Menstruation Phase เป็นช่วงที่คุณผู้อ่านมักจะคุ้นเคยกันมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีเลือดออกจากช่องคลอด ระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 3 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล สิ่งที่เกิดขึ้นในระยะนี้คือผนังในของมดลูกที่เรียกว่า endometrium ซึ่งได้สร้างขึ้นมาตลอดรอบที่ผ่านมาจะหลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือด เนื่องจากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น - ระยะที่สอง
ระยะหลังประจำเดือน หรือ Follicular Phase ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนและจะดำเนินต่อไปจนถึงการไข่ตก ในระยะนี้ฮอร์โมน FSH หรือ Follicle Stimulating Hormone จะเริ่มทำงาน โดยจะส่งสัญญาณไปยังรังไข่ให้เริ่มเตรียมไข่สำหรับการไข่ตกในรอบนี้ ขณะเดียวกันผนังมดลูกก็จะเริ่มสร้างขึ้นใหม่เพื่อเตรียมรับการปฏิสนธิที่อาจจะเกิดขึ้น - ระยะที่สาม
ระยะไข่ตก หรือ Ovulation Phase ซึ่งเกิดขึ้นประมาณกลางรอบประจำเดือน ในระยะนี้ไข่ที่พร้อมแล้วจะถูกปล่อยออกจากรังไข่และเดินทางเข้าสู่ท่อนำไข่ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด เพราะไข่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 12 – 24 ชั่วโมงหลังจากไข่ตก - ระยะที่สี่
ระยะหลังไข่ตก หรือ Luteal Phase ซึ่งจะดำเนินต่อไปจนถึงการมีประจำเดือนครั้งถัดไป หากไม่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผนังมดลูกที่สร้างขึ้นมาจะเตรียมหลุดลอก นำไปสู่การมีประจำเดือนในรอบถัดไป
…สิ่งที่ควบคุมทั้งหมดนี้ คือ “ระบบฮอร์โมนที่ทำงานตามธรรมชาติ”
ไม่ใช่สิ่งภายนอกเช่นอุณหภูมิของเครื่องดื่มที่เราดื่ม…
เมื่อเราดื่มน้ำเย็นลงไป สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ น้ำเย็นนั้นจะผ่านเข้าไปในปาก ลำคอ และลงสู่กระเพาะอาหาร ณ จุดนี้ร่างกายของเราซึ่งมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่ยอดเยี่ยมจะเริ่มทำงาน กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กจะใช้พลังงานในการปรับอุณหภูมิของน้ำที่เราดื่มเข้าไปให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายของเรา ซึ่งคือประมาณ 37 องศาเซลเซียส ซึ่งกระบวนการปรับอุณหภูมินี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่เราดื่มน้ำเย็น อุณหภูมิของน้ำนั้นก็จะถูกปรับให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายแล้ว และเมื่อน้ำนั้นถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด มันก็จะมีอุณหภูมิเท่ากับเลือดในร่างกายของเราพอดี
ดังนั้น…เลือดในร่างกายของเราจึงไม่เคยเย็นลงเพราะการดื่มน้ำเย็น และที่สำคัญ คือ เลือดไม่เคยแข็งตัวหรือหยุดไหลเพราะน้ำเย็นเลย เพราะอุณหภูมิของเลือดยังคงที่ 37 องศาเซลเซียสตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็นก็ตาม การไหลเวียนของเลือดในร่างกายเรานั้นถูกควบคุมโดยหัวใจและระบบหลอดเลือด ไม่ใช่อุณหภูมิของสิ่งที่เราดื่ม หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไปยังมดลูกและอวัยวะสืบพันธุ์ต่างๆ การไหลเวียนนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากการดื่มน้ำเย็นแต่อย่างใดมดลูกเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกภายในช่องท้อง ห่างจากกระเพาะอาหารและมีเนื้อเยื่อหลายชั้นกั้นอยู่ การดื่มน้ำเย็นจึงไม่มีทางส่งผลโดยตรงต่อมดลูกได้ การหดเกร็งของมดลูกช่วงประจำเดือนเป็นผลจากการทำงานของฮอร์โมนโปรสตาแกลนดิน ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิ
สิ่งที่จริงๆ แล้วส่งผลต่อการมีประจำเดือน คือ ระบบฮอร์โมน สุขภาพของระบบสืบพันธุ์ ปัจจัยทางพันธุกรรม สภาพแวดล้อมและความเครียด โภชนาการและน้ำหนักตัว การออกกำลังกายมากเกินไป การใช้ยาบางชนิด และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ส่วนการดื่มน้ำเย็นนั้นไม่ได้อยู่ในรายการปัจจัยเหล่านี้เลย
ไขข้อข้องใจ…ดื่มน้ำเย็นต่อระบบประจำเดือนไหม?
จากการศึกษาวิจัยที่เชื่อถือได้หลายชิ้น ผลการวิจัยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดื่มน้ำเย็นไม่มีผลโดยตรงต่อระบบประจำเดือน การศึกษาหนึ่งที่ทำในประเทศจีนเมื่อปี 2019 ได้ติดตามผู้หญิง 1,200 คนเป็นเวลา 6 เดือน โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งดื่มน้ำเย็นตามปกติ อีกกลุ่มหนึ่งดื่มแต่น้ำอุณหภูมิปกติ ผลการศึกษาพบว่าไม่มีความแตกต่างในรูปแบบการมีประจำเดือนระหว่างสองกลุ่ม ทั้งในด้านความยาวของรอบ ปริมาณเลือด และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น และการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี 2020 ได้ศึกษาผลของอุณหภูมิเครื่องดื่มต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ผลการศึกษาพบว่าอุณหภูมิของเครื่องดื่มไม่มีผลต่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน หรือฮอร์โมนอื่นๆ ที่ควบคุมการมีประจำเดือน
แต่ถึงแม้ว่า…น้ำเย็นจะไม่มีผลโดยตรงต่อประจำเดือน แต่ในบางกรณีอาจมีผลกระทบทางอ้อมได้ เช่น สำหรับคนที่มีกระเพาะอาหารอ่อนไหว การดื่มน้ำเย็นอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง และความปวดนี้ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายเพิ่มขึ้น ซ้อนกับอาการปวดท้องจากการหดเกร็งของมดลูกช่วงประจำเดือน ทำให้รู้สึกว่าอาการแย่ลงกว่าเดิม หรือสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือกลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน การดื่มน้ำเย็นอาจทำให้อาการของโรคเหล่านี้แย่ลง ซึ่งอาจส่งผลให้รู้สึกไม่สบายโดยรวม แต่ก็ยังไม่ได้มีผลต่อประจำเดือนโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางจิตใจที่อาจมีผลด้วย หากคนๆ หนึ่งเชื่อมั่นว่าการดื่มน้ำเย็นจะทำให้เกิดปัญหากับประจำเดือน ความกังวลและความเครียดจากความเชื่อนี้อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนความเครียด ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อรูปแบบการมีประจำเดือนได้ แต่นี่ก็เป็นผลจากความเครียด ไม่ใช่เพราะน้ำเย็นโดยตรง
… ความเชื่อโบราณ
vs.
ความรู้สมัยใหม่ …
ความเชื่อ…เรื่องการห้ามดื่มน้ำเย็นช่วงประจำเดือนมีรากฐานมาจากหลายแหล่ง แหล่งแรก คือแนวคิดเรื่อง “ร้อน-เย็น” ในการแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเชื่อว่าร่างกายมีสมดุลของความร้อนและความเย็น และเมื่อสมดุลนี้เสียไปก็จะทำให้เกิดการเจ็บป่วย ในช่วงประจำเดือน…ผู้หญิงถูกมองว่าอยู่ในสภาวะเย็นอยู่แล้ว การดื่มสิ่งที่เย็นเพิ่มเติมจึงถูกเชื่อว่าจะทำให้ความเย็นมากเกินไป และส่งผลเสียต่อสุขภา แนวคิดนี้ไม่ได้มีเฉพาะในวัฒนธรรมไทยเท่านั้น แต่พบได้ในหลายวัฒนธรรมเอเชีย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งแต่ละวัฒนธรรมก็มีความเชื่อที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มเย็นช่วงประจำเดือน
แต่ในยุคปัจจุบัน…การแพทย์สมัยใหม่อาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ หรือที่เรียกว่า Evidence-based Medicine ในการหาคำตอบ โดยใช้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม และการติดตามผลในระยะยาว การแพทย์สมัยใหม่มองการประจำเดือนในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม โดยเห็นว่าการประจำเดือนเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นในร่างกายผู้หญิงที่มีสุขภาพดี และไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดมากมายในการดำเนินชีวิต ผู้หญิงสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ รวมทั้งการดื่มน้ำเย็น การออกกำลังกาย การสระผม และการรับประทานอาหารที่หลากหลาย
เครื่องดื่มที่ดีสำหรับช่วงประจำเดือน
แม้ว่าน้ำเย็นจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อการประจำเดือนตามที่เราได้อธิบายให้คุณผู้อ่านได้ทราบมาแล้ว แต่การเลือกเครื่องดื่มที่เหมาะสมช่วงประจำเดือนก็ยังคงมีความสำคัญ เพราะเครื่องดื่มบางชนิดสามารถช่วยลดอาการไม่สบาย เสริมสารอาหารที่จำเป็น และส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้
โดยเราขอแนะนำเป็น…
- น้ำเปล่า
เป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดสำหรับทุกช่วงเวลา รวมทั้งช่วงประจำเดือน ในระหว่างมีประจำเดือน ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเลือดไปบ้าง การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงช่วยชดเชยการสูญเสียนี้ นอกจากนี้น้ำยังช่วยลดอาการบวม ซึ่งเป็นอาการที่หลายคนประสบช่วงประจำเดือน การดื่มน้ำเพียงพอยังช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย และป้องกันอาการปวดหัวหรือความเหนื่อยล้าที่อาจเกิดจากภาวะขาดน้ำ
สำหรับอุณหภูมิของน้ำ น้ำอุ่นอาจช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและอาจช่วยลดอาการปวดท้องได้บ้าง ส่วนน้ำเย็นก็ให้ความสดชื่นและช่วยให้รู้สึกตื่นตัว โดยไม่มีผลเสียต่อประจำเดือนแต่อย่างใด
- ชาสมุนไพร
เป็นอีกทางเลือกที่ดีมากสำหรับช่วงประจำเดือน เพราะสมุนไพรหลายชนิดมีสรรพคุณช่วยลดอาการไม่สบายต่างๆ
- ชาขิง มีสรรพคุณแก้อักเสบตามธรรมชาติ ช่วยลดอาการปวดท้อง และช่วยการย่อยอาหาร
- ชาคาโมมายล์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีมาก เพราะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยลดความเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญช่วงประจำเดือนที่อารมณ์อาจแปรปรวน 06:11/67
- ชาใบราสพ์เบอร์รี่ สมุนไพรที่มีประวัติยาวนาน ใช้สำหรับปัญหาสุขภาพผู้หญิง มีการศึกษาที่พบว่าอาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนและควบคุมการไหลของประจำเดือนให้สม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
- น้ำผลไม้
น้ำผลไม้คั้นสดก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่แพ้กัน เพราะช่วยเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่อาจขาดหายไปช่วงประจำเดือน
- น้ำส้มสด อุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กซึ่งสำคัญมากช่วงประจำเดือน
- น้ำทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและช่วยลดการอักเสบ
- น้ำแตงโม ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกายและมีแมกนีเซียมที่ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ
- น้ำมะพร้าว ช่วยชดเชยเกลือแร่ที่อาจสูญเสียไปช่วงประจำเดือน ช่วยลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ และมีรสชาติหวานธรรมชาติที่ไม่ต้องเติมน้ำตาล
- ผลิตภัณฑ์จากนม
สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดที่ไม่มีอาการแพ้นม นมสามารถให้ประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะแคลเซียม ซึ่งมีการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ นมยังให้โปรตีนที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และมีวิตามินดีที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
การเลือกเครื่องดื่มยังขึ้นอยู่กับอาการเฉพาะที่แต่ละคนที่ประสบด้วย โดยหากคุณผู้อ่านมีมีอาการปวดท้อง ชาขิงอุ่นๆ น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง หรือชาคาโมมายล์อาจช่วยได้ หากมีอาการบวม การดื่มน้ำเปล่าจำนวนมาก น้ำแตงโม หรือน้ำมะนาว ไม่ใส่น้ำตาลอาจช่วยขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย หากรู้สึกเหนื่อยล้า น้ำผลไม้สดที่มีธาตุเหล็กหรือน้ำมะพร้าวอาจช่วยเพิ่มพลังงาน
ดูแลร่างกายอย่างไร? เมื่อมีประจำเดือน
- การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง
การดื่มน้ำเป็นพื้นฐานสำคัญ แนะนำให้คุณผู้อ่านดื่มน้ำวันละ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 1.5 – 2 ลิตร ปริมาณนี้อาจต้องเพิ่มขึ้นหากมีการออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน แนะนำว่าการดื่มน้ำควรกระจายตลอดทั้งวัน ไม่ควรดื่มน้ำจำนวนมากในครั้งเดียวแล้วปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำในช่วงเวลาอื่น
โดยเวลาที่เหมาะสมในการดื่มน้ำก็มีความสำคัญ ควรดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอน 1 – 2 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในระหว่างการนอน ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที เพื่อเตรียมระบบย่อยอาหาร และดื่มน้ำหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้รบกวนการย่อยอาหาร ก่อนนอนควรดื่มน้ำประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ต้องตื่นมาใช้ห้องน้ำบ่อยในตอนกลางคืน
- การจัดการอาการปวดท้อง
การประคบความร้อน เป็นวิธีที่ได้ผลดีมากสำหรับท่านใดที่ปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน โดยสามารถใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นประคบความร้อนวางที่หน้าท้องหรือหลังส่วนล่าง นอกจากนี้การแช่น้ำอุ่น 15 – 20 นาที ก็ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งได้ดี การดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น ชาสมุนไพร หรือน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ก็ช่วยได้เช่นกัน
- การนวดเบาๆ
การนวดเบาๆ เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดอาการปวดได้ การนวดหน้าท้องเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาด้วยแรงเบาๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ การนวดหลังส่วนล่างก็ช่วยได้เช่นกัน หรือหากมีความรู้เรื่องการกดจุดนวด การนวดจุดที่เท้าที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์อาจช่วยลดอาการได้
- การออกกำลังกายเบาๆ
แม้ว่าการออกกำลังกายจะดูขัดแย้งกับการรู้สึกเหนื่อยล้า แต่จริงๆ แล้วช่วยได้มาก การเดินเบาๆ การยืดเส้นเอ็น หรือการทำโยคะท่าเบาๆ ช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง ช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและปรับปรุงอารมณ์ได้ การออกกำลังกายเบา เช่น การเดิน การยืดเส้นเอ็น การทำโยคะ หรือการว่ายน้ำเบาๆ เหมาะสำหรับวันที่มีอาการปวดมาก การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การจ๊อกกิ้งเบาๆ การปั่นจักรยาน การเต้นแอโรบิค หรือการเล่นแบดมินตัน สามารถทำได้หากรู้สึกมีแรงและไม่มีอาการปวดมาก
ทั้งนี้…คุณผู้อ่านก็ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการยกของหนักในช่วงที่มีอาการปวดมาก
- การจัดการอารมณ์และความเครียด
ช่วงประจำเดือนมา…คุณผู้อ่านอาจพบอารมณ์แปรปรวน รู้สึกหงุดหงิดง่าย เศร้า หรือวิตกกังวลมากกว่าปกติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็น ควรนอนหลับ 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืน หลีกเลี่ยงการนอนดึกและหาเวลาพักผ่อนในระหว่างวันหากรู้สึกเหนื่อย
ซึ่งกิจกรรมผ่อนคลายต่างๆ ช่วยได้มาก การฟังเพลงที่ชอบ การอ่านหนังสือ การดูหนังหรือซีรีส์ การทำงานอดิเรกที่ชอบ หรือการทำสมาธิ ล้วนช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์ได้
- การดูแลสุขอนามัย
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูดซับที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัย ผ้าอนามัยแบบผ้า หรือถ้วยประจำเดือน ควรเปลี่ยนเป็นระยะตามคำแนะนำ โดยผ้าอนามัยควรเปลี่ยนทุก 3 – 4 ชั่วโมง แม้ว่าจะยังไม่เปียกเต็มก็ตามเพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค
การรักษาความสะอาดต้องทำอย่างถูกต้อง การอาบน้ำทุกวันเป็นสิ่งจำเป็น การล้างอวัยวะเพศควรใช้น้ำสะอาดเท่านั้น หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือเจลทำความสะอาดที่มีสารเคมีแรง เพราะอาจทำลายสมดุลของจุลินทรีย์ที่ดีในช่องคลอด การเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวันและเลือกใช้ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายซึ่งระบายอากาศได้ดี
นอกจากการดูแลร่างกายตามที่เราแนะนำข้างต้นไปแล้วนั้น เมื่อเราพูดถึงการดูแลสุขภาพช่วงประจำเดือนและวัยทองของผู้หญิง เราต้องเข้าใจก่อนว่าร่างกายผู้หญิงต้องการการดูแลที่ครอบคลุมทั้งด้านโภชนาการและสารอาหารเสริมที่เหมาะสม แน่นอนว่า…
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้หญิง สามารถทานได้ทั้งก่อนและหลังการหมดประจำเดือน โดยประกอบไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 6 ชนิดที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายผู้หญิงในแต่ละช่วงวัย
- สารสกัดจากถั่วเหลืองจากสเปน
ในถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนตามธรรมชาติ ช่วยทดแทนฮอร์โมนที่ขาดหายไปได้ และสร้างสมดุลให้แก่ร่างกายของผู้หญิง - สารสกัดจากตังกุย
ช่วยบรรเทาและปรับปรุงระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง รวมทั้งช่วยในการควบคุมรอบประจำเดือนและลดอาการไม่สบายที่เกิดขึ้น - สารสกัดจากแปะก๊วย
สารสกัดจากแปะก๊วยเป็นที่รู้จักในเรื่องการช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ปรับปรุงการทำงานของสมอง และลดการอักเสบ สำหรับผู้หญิงที่กำลังใกล้เข้าสู่วัยทองที่อาจเริ่มมีปัญหาเรื่องความจำหรือสมาธิ การได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยจึงช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบประสาทได้ - สารสกัดจากงาดำ
งาดำเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งมีแคลเซียมและแมกนีเซียมที่จำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้หญิงวัยทองที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุน นอกจากนี้งาดำยังช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้มีสุขภาพดี - ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีคุณสมบัติในการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยทองที่ระดับเอสโตรเจนลดลง ทำให้ภูมิคุ้มกันในบริเวณนั้นลดลงด้วย - อินูลิน พรีไบโอติก
เส้นใยอาหารชนิดพิเศษที่ช่วยเลี้ยงแบคทีเรียดีในลำไส้ ระบบทางเดินอาหารที่แข็งแรงมีความสำคัญมากต่อสุขภาพโดยรวม เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการดูดซึมสารอาหารและการสร้างภูมิคุ้มกัน การมีลำไส้ที่แข็งแรงจึงช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ถูกออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพผู้หญิงแบบครอบคลุม เมื่อรับประทานควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การนอนหลับให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด ก็จะช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผ้าผ่านช่วงเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในชีวิตได้อย่างราบรื่น
โดยคุณผู้อ่านสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชิ้นนี้ได้อย่างง่ายๆ ผ่านการรับประทานวันละ 1 แคปซูล พร้อมมื้ออาหารที่สะดวก แค่นี้ก็เหมือนได้ดูแลสุขภาพเป็นสองเท่า
อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง
แม้ว่าน้ำเย็นจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อการประจำเดือน แต่ก็มีอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่จริงๆ แล้วอาจทำให้อาการไม่สบายช่วงประจำเดือนแย่ลงได้เช่นกัน
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง
เครื่องดื่มประเภทนี้ เป็นสิ่งแรกที่ควรระวัง! กาแฟที่เรามักดื่มกันทุกวันนั้น หากดื่มมากเกินไปช่วงประจำเดือนอาจทำให้อาการหงุดหงิดและวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น คาเฟอีนยังอาจส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนไม่สนิท ซึ่งจะทำให้อาการเหนื่อยล้าและอารมณ์แปรปรวนแย่ลงไปอีก
นอกจากนี้คาเฟอีนยังอาจทำให้อาการปวดหัวที่บางคนมีช่วงประจำเดือนรุนแรงขึ้น หากเป็นคนดื่มกาแฟเป็นประจำ แนะนำให้ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งช่วงประจำเดือน
- ชาเขียวและชาดำ
นอกจากจะมีผลเช่นเดียวกับกาแฟแล้ว สารแทนนินในชายังอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กซึ่งสำคัญมากช่วงประจำเดือนที่ร่างกายสูญเสียเลือด การเลือกดื่มชาสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีนแทนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- เครื่องดื่มชูกำลัง
เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งช่วงประจำเดือน เพราะนอกจากจะมีคาเฟอีนสูงมากแล้ว ยังมีน้ำตาลและสารกระตุ้นอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ส่งผลเสียต่อการนอนหลับ และเพิ่มความเครียดและความวิตกกังวล
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงประจำเดือน แอลกอฮอล์มีผลเสียหลายประการต่อร่างกายช่วงนี้ ทำให้ร่างกายขาดน้ำซึ่งจะทำให้อาการปวดหัวและความเหนื่อยล้าแย่ลง รบกวนการนอนหลับแม้ว่าในตอนแรกอาจรู้สึกง่วงนอน แต่คุณภาพการนอนจะแย่ลง เพิ่มความรุนแรงของอาการปวดท้องเพราะแอลกอฮอล์เป็นสารระคายเคือง ส่งผลเสียต่อระบบฮอร์โมนซึ่งอยู่ในสภาวะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว และเพิ่มอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลที่บางคนมีช่วงประจำเดือน
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลเติม หรือเครื่องดื่มหวานต่างๆ ก็ควรจำกัด น้ำตาลส่วนเกินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้อารมณ์แปรปรวนมากขึ้น รู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากที่ระดับน้ำตาลลดลง และอาจเพิ่มการอักเสบในร่างกายซึ่งจะทำให้อาการปวดแย่ลง
- อาหารที่มีเกลือสูง
เกลือ ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ ส่งผลให้เกิดอาการบวมมากขึ้น ซึ่งอยู่แล้วช่วงประจำเดือนหลายคนก็มีปัญหาบวมอยู่ อาหารแปรรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก แฮม ลูกชิ้น หรืออาหารกระป๋อง มักมีเกลือสูง รวมทั้งขนมขบเคี้ยวเค็มๆ ต่างๆ
- อาหารทอดและอาหารที่มีไขมันเหม็น
ไขมันเหม็นเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้อาการปวดท้องแย่ลง อาหารทอดยังย่อยยากและอาจทำให้รู้สึกอืดเฟ้อ ซึ่งจะเพิ่มความไม่สบายที่มีอยู่แล้ว
- อาหารรสจัดและเผ็ดมากเกินไป
อาหารประเภทนี้…อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารระคายเคือง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีกระเพาะอาหารอ่อนไหวอยู่แล้ว อาจเพิ่มอาการปวดท้องหรือท้องเสีย
- ขนมหวานและของหวานจัดๆ
แม้ว่าอาหารประเภทนี้จะให้พลังงานในช่วงแรก แต่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อความคงที่ของอารมณ์และพลังงาน จึงแนะนำให้เลือกกินขนมที่มีน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ผลไม้สด จะดีกว่า…
สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์
แม้ว่าการประจำเดือนเป็นกระบวนการธรรมชาติ แต่มีบางสัญญาณที่แสดงว่าอาจมีปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการตรวจสอบและรักษาจากแพทย์
- อาการปวดท้องที่รุนแรงมากจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ หากต้องกินยาแก้ปวดเป็นประจำหรือยาแก้ปวดไม่ได้ผล หรือปวดมากจนต้องลาหยุดงานหรือเรียนบ่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น เยื่อบุมดลูกผิดที่ เนื้องอกมดลูก หรือการอักเสบของอวัยวะในช่องเชิงกราน - ประจำเดือนที่มามากเกินไป
เช่น ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมงหรือมีก้อนเลือดขนาดใหญ่กว่าเหรียญ 5 บาท ประจำเดือนที่นานเกิน 7 วัน หรือมีเลือดออกระหว่างรอบประจำเดือน ล้วนเป็นสัญญาณที่ควรให้แพทย์ตรวจสอบ - ประจำเดือนที่หยุดมาอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ
โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ต้องตรวจสอบ ประจำเดือนที่มาไม่สม่ำเสมอมาก เช่น ห่างกันน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน ก็ควรปรึกษาแพทย์ - อาการทางอารมณ์ที่รุนแรงจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
เช่น ซึมเศร้าหนัก วิตกกังวลมาก หรือโกรธง่ายจนควบคุมไม่ได้ อาจเป็นสัญญาณของ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือ PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) ที่รุนแรง ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการดูแลทางการแพทย์ - อาการไม่สบายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประจำเดือนแต่เกิดขึ้นเป็นประจำช่วงนี้
เช่น ปวดหัวรุนแรง มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียนมาก หรือมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็ควรไปพบแพทย์ - มีกลิ่นผิดปกติจากช่องคลอด
โดยเฉพาะกลิ่นเหม็นคาวหรือเหม็นเปรี้ยว ร่วมกับมีการคันหรือระคายเคือง อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษา