“ต่อมลูกหมากโต” หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ภาวะต่อมลูกหมากโตตัวเอง” (Benign Prostatic Hyperplasia หรือ BPH) เป็นภาวะที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ชายวัยทอง โดยต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่มีขนาดประมาณเท่าลูกวอลนัท ตั้งอยู่ด้านล่างของกระเพาะปัสสาวะ ล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น ซึ่งเป็นท่อที่นำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกนอกร่างกาย เมื่อผู้ชายมีอายุมากขึ้นและก้าวเข้าสู่วัยทอง “ต่อมลูกหมาก” มักจะขยายขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งต่อมลูกหมาก
แต่อย่างไรก็ตาม…เมื่อ “ต่อมลูกหมาก” มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจกดทับท่อปัสสาวะทำให้เกิดปัญหาในการถ่ายปัสสาวะ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ “ฉี่ไม่สุด” หรือรู้สึกว่าปัสสาวะไม่หมด จากสถิติพบว่าประมาณร้อยละ 50 ของผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป มีอาการของต่อมลูกหมากโต และเมื่ออายุ 80 ปี ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 ทำให้ในประเทศไทยผู้ชายวัยทองจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหานี้ แต่หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของอาการเหล่านี้ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
และหนึ่งในอาการที่มาเตือนภาวะต่อมลูกหมากโต ก็คือ อาการ “ฉี่ไม่สุด” หรือคุณผู้อ่านอาจมีความรู้สึกว่าปัสสาวะไม่หมด นี่เป็นหนึ่งในอาการสำคัญที่บ่งชี้ถึงภาวะต่อมลูกหมากโต ซึ่งผู้ชายวัยทองหลายคนมักมองข้าม หรือคิดว่าเป็นเพียงอาการปกติที่เกิดขึ้นตามวัย แต่ความจริงแล้ว อาการนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่ไม่ควรละเลย
แล้วทำไมถึงเกิดอาการฉี่ไม่สุด?
เพราะเมื่อต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น จะกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้ท่อปัสสาวะแคบลง ส่งผลให้…
- การไหลของปัสสาวะช้าลง แรงดันของปัสสาวะลดลง ทำให้ปัสสาวะไหลเป็นสายเล็กและช้า
- กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักขึ้น เพื่อดันปัสสาวะผ่านท่อที่แคบลง กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะต้องทำงานหนักขึ้น
- ปัสสาวะค้างในกระเพาะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ ทำให้มีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะหลังจากปัสสาวะเสร็จแล้ว
และการที่มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะนี้เอง ที่ทำให้เกิดความรู้สึก “ฉี่ไม่สุด” หรือปัสสาวะไม่หมด แม้จะเพิ่งปัสสาวะเสร็จไปไม่นาน ก็อาจรู้สึกอยากปัสสาวะอีก หรือในบางรายที่อาจกลั้นไม่อยู่และไหลออกมาเอง อาการฉี่ไม่สุดนี้ไม่เพียงแค่สร้างความรำคาญหรือหงุดหงิดใจในการดำเนินชีวิตประจำวันของวัยทองเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น…
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะที่ค้างอยู่ในกระเพาะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากแร่ธาตุในปัสสาวะที่ค้างอยู่ตกผลึกกลายเป็นนิ่ว
- การทำงานของไตบกพร่อง หากปัสสาวะไหลย้อนขึ้นไปที่ไต อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการทำงานของไตเสื่อมลง
- ภาวะปัสสาวะค้างเฉียบพลัน ไม่สามารถปัสสาวะได้เลย ต้องได้รับการสวนปัสสาวะอย่างเร่งด่วน
สาเหตุของต่อมลูกหมากโตในผู้ชายวัยทอง
ภาวะ “ต่อมลูกหมากโต” ในผู้ชายวัยทอง มีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนที่เกิดขึ้นตามอายุ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเข้ามาด้วย เรามาลองดูกันว่าสาเหตุที่ว่าเกิดมาจากเรื่องอะไรได้บ้าง โดยหากเริ่มจาก…
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน
- ฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน เมื่อผู้ชายมีอายุมากขึ้น ร่างกายจะเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้เป็น DHT มากขึ้น ซึ่ง DHT นี้กระตุ้นให้เซลล์ต่อมลูกหมากเพิ่มจำนวนและขยายขนาด
- การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในผู้ชายวัยทอง ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะค่อยๆ ลดลง แต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังคงอยู่ในระดับเดิม การเปลี่ยนแปลงสมดุลนี้อาจส่งผลให้ต่อมลูกหมากมีการเติบโตผิดปกติ
- ปัจจัยการเติบโต ร่างกายผลิตโปรตีนที่เรียกว่า “Growth Factor” ซึ่งกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ต่อมลูกหมาก เมื่ออายุมากขึ้น การควบคุมปัจจัยการเติบโตนี้อาจผิดปกติ
นอกจากสาเหตุด้านบนแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกเช่นกันที่สามารถทำให้เกิดต่อมลูกหมากโตได้ในผู้ชายวัยทอง โดยคุณผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเพื่อประเมินความเสี่ยงของตนเองและป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะนี้ ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมี ดังนี้
1. อายุที่เพิ่มขึ้น อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับภาวะต่อมลูกหมากโต โดยสถิติแสดงให้เห็นว่า
- อายุ 40 ปี พบภาวะต่อมลูกหมากโตประมาณร้อยละ 20
- อายุ 50 ปี พบภาวะต่อมลูกหมากโตประมาณร้อยละ 50
- อายุ 60 ปี พบภาวะต่อมลูกหมากโตประมาณร้อยละ 60
- อายุ 70 ปี พบภาวะต่อมลูกหมากโตประมาณร้อยละ 80
- อายุ 80 ปีขึ้นไป พบภาวะต่อมลูกหมากโตมากกว่าร้อยละ 90
2. ประวัติครอบครัว ผู้ชายที่มีญาติสายตรงเป็นต่อมลูกหมากโต เช่น บิดา พี่ชาย หรือน้องชาย มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 4 เท่า การศึกษาในฝาแฝดยังพบว่า หากฝาแฝดคนหนึ่งเป็นต่อมลูกหมากโต อีกคนมีโอกาสเป็นสูงมากเช่นกัน
3. เชื้อชาติและพันธุกรรม มีรายงานว่าชาวเอเชียมีอัตราการเกิดต่อมลูกหมากโตต่ำกว่าชาวตะวันตก แต่ในกลุ่มเอเชียด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดสูงกว่าชาวจีนและไทย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิต
4. ภาวะโรคอ้วนและน้ำหนักเกิน ผู้ชายที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมากโตมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณหน้าท้อง มีการศึกษาพบว่าผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 100 เซนติเมตร มีความเสี่ยงสูงกว่าคนที่มีรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตรถึง 2.5 เท่า
5. โรคเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติประมาณ 1.5 – 2 เท่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
6. ความดันโลหิตสูง ผู้ชายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต โดยมีความเชื่อมโยงกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมกล้ามเนื้อในต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ
7. การขาดการออกกำลังกาย การมีวิถีชีวิตที่ไม่กระตือรือร้น หรือขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต ผู้ชายที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน มีความเสี่ยงต่ำกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกายประมาณร้อยละ 25
8. พฤติกรรมการบริโภค รูปแบบการกินมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดต่อมลูกหมากโต
- การบริโภคเนื้อแดงและไขมันสัตว์ในปริมาณมาก เพิ่มความเสี่ยง
- การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดยเฉพาะในปริมาณมาก เพิ่มความเสี่ยง
- การบริโภคผักและผลไม้น้อย เพิ่มความเสี่ยง
- การดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยง
9. การสูบบุหรี่ แม้ว่าผลการศึกษาจะไม่ชัดเจนเท่าปัจจัยอื่นๆ แต่มีหลักฐานบางส่วนที่แสดงว่าการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต กลไกอาจเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังและการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศชายในผู้สูบบุหรี่
10. ภาวะทางเมแทบอลิซึม กลุ่มอาการเมแทบอลิก ซึ่งประกอบด้วยภาวะอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และไขมันในเลือดผิดปกติ มีความสัมพันธ์กับการเกิดต่อมลูกหมากโต จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่มีกลุ่มอาการเมแทบอลิกมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 1.8 เท่า
11. การอักเสบเรื้อรัง การอักเสบเรื้อรังของต่อมลูกหมาก ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือภาวะต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง สามารถนำไปสู่การเพิ่มขนาดของต่อมลูกหมากได้ในระยะยาว
12. ความเครียดและปัจจัยทางจิตใจ ความเครียดเรื้อรังอาจมีผลต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต โดยผ่านกลไกการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล นอกจากนี้ความเครียดยังเป็นบ่อเกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย 06:04/68
13. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิดในสิ่งแวดล้อม เช่น สารกำจัดศัตรูพืช สารเคมีอุตสาหกรรม หรือสารที่รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต โดยเฉพาะการสัมผัสในระยะยาว
14. ยาบางชนิด การใช้ยาบางประเภท เช่น ยากลุ่มต้านฮีสตามีน ยากลุ่มต้านการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ หรือยากลุ่มต้านการซึมเศร้าบางชนิด อาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และอาจเพิ่มความเสี่ยงหรือทำให้อาการของต่อมลูกหมากโตแย่ลง
การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ชายวัยทองสามารถประเมินความเสี่ยงของตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงได้ แม้จะไม่สามารถควบคุมปัจจัยบางอย่างได้ เช่น อายุและพันธุกรรม แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต เช่น น้ำหนัก การออกกำลังกาย และพฤติกรรมการบริโภค สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อสุขภาพต่อมลูกหมากที่ดี
อาการและสัญญาณเตือนของต่อมลูกหมากโต
อาการของต่อมลูกหมากโตมีความหลากหลายและอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก การรู้และเข้าใจอาการเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือและหาการรักษาได้อย่างทันท่วงที
อาการทางระบบปัสสาวะส่วนล่าง (Lower Urinary Tract Symptoms – LUTS)
อาการของต่อมลูกหมากโตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. อาการเกี่ยวกับการกักเก็บปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อย ต้องปัสสาวะมากกว่า 8 ครั้งต่อวัน ทำให้รู้สึกรำคาญและกังวลเมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะหรือระหว่างการประชุม
- ปัสสาวะเร่งด่วน รู้สึกปวดปัสสาวะทันทีและควบคุมไม่ได้ ต้องรีบหาห้องน้ำอย่างเร่งด่วน ไม่สามารถชะลอความรู้สึกนี้ได้แม้เพียงไม่กี่นาที
- ปัสสาวะกลางคืนต้องตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ส่งผลให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง เกิดความเหนื่อยล้าในตอนกลางวัน และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มในเวลากลางคืน
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้ อาจเกิดขึ้นเมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก ก่อให้เกิดความอับอายและส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน
2. อาการเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ
- ปัสสาวะไหลช้า วัยทองมีแรงดันของปัสสาวะลดลงอย่างชัดเจน ทำให้สายปัสสาวะไม่พุ่งอย่างที่เคยเป็น บางครั้งอาจแค่ไหลลงตรงๆ เท่านั้น
- ต้องเบ่งหรือออกแรงเพื่อปัสสาวะ ต้องใช้แรงในการเริ่มปัสสาวะหรือในระหว่างการปัสสาวะ เหมือนกับการออกแรงเบ่งเพื่อบังคับให้ปัสสาวะออกมา ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะริดสีดวงทวารหรือไส้เลื่อน
- ปัสสาวะไม่พุ่ง ต้องรอนานกว่าจะเริ่มปัสสาวะได้ แม้จะรู้สึกปวดมาก บางครั้งต้องยืนรออยู่หน้าโถสุขภัณฑ์เป็นเวลานานกว่าจะเริ่มปัสสาวะได้
- ปัสสาวะเป็นช่วงๆ การไหลของปัสสาวะไม่ต่อเนื่อง หยุดและเริ่มใหม่หลายครั้งในระหว่างการปัสสาวะครั้งเดียว ทำให้ใช้เวลาในห้องน้ำนานขึ้น
3. อาการหลังปัสสาวะ
- ปัสสาวะไม่สุดรู้สึกว่ายังมีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะหลังจากปัสสาวะเสร็จแล้ว ทำให้รู้สึกไม่สบายและมักต้องกลับเข้าห้องน้ำอีกครั้งในเวลาไม่นาน
- ปัสสาวะหยดหลังเสร็จ มีปัสสาวะหยดออกมาหลังจากเสร็จสิ้นการปัสสาวะและออกจากห้องน้ำแล้ว ทำให้เกิดคราบเปียกบนกางเกงชั้นในหรือกางเกงด้านนอก สร้างความอับอายในที่สาธารณะ
พอทราบถึงอาการที่อาการจากข้างด้านบนแล้ว เดี๋ยวเราลองมาดูกันต่อว่าหลังจากอาการของต่อมลูกหมากโตที่ค่อยๆ พัฒนาอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ…
ระยะเริ่มต้น
ในระยะเริ่มต้นคุณผู้อ่านจะมีปัสสาวะบ่อยขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน อาจต้องตื่นปัสสาวะ 1 – 2 ครั้ง แต่ก็จะเริ่มรู้สึกว่าแรงปัสสาวะลดลง ยังไม่มีปัญหาในการเริ่มหรือจบการปัสสาวะ
แต่ใช้เวลาปัสสาวะนานขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่อาจใช้เวลาไม่กี่วินาทีเป็นเวลา 30 วินาทีหรือมากกว่า อาจมีอาการปัสสาวะเร่งด่วนเป็นบางครั้ง แต่ยังสามารถควบคุมได้และไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
ระยะปานกลาง
ระยะปานกลางนี้ คุณผู้อ่านจะเริ่มรู้สึกถึงการปัสสาวะบ่อยมากขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน อาจต้องปัสสาวะทุก 2 – 3 ชั่วโมงในตอนกลางวัน และตื่นกลางคืน 2 – 3 ครั้ง แรงปัสสาวะลดลงอย่างชัดเจน สายปัสสาวะอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ต้องรอหรือออกแรงเบ่งเพื่อเริ่มปัสสาวะ บางครั้งต้องรอ 20 – 30 วินาทีก่อนที่ปัสสาวะจะเริ่มไหล มีอาการปัสสาวะไม่สุดเป็นประจำ รู้สึกอึดอัดหลังปัสสาวะเสร็จ และมักต้องกลับเข้าห้องน้ำอีกครั้งภายในเวลาไม่นาน
เริ่มมีผลกระทบต่อการนอนและกิจกรรมประจำวัน เช่น รู้สึกเหนื่อยล้าจากการนอนไม่เพียงพอ หลีกเลี่ยงการเดินทางไกลหรือกิจกรรมที่ต้องอยู่ห่างจากห้องน้ำเป็นเวลานาน อาจเริ่มมีผลกระทบทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล ความหงุดหงิด หรือความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ
ระยะรุนแรง
ระยะนี้เป็นระยะสุดท้าย โดยจะปัสสาวะทุกๆ 1 – 2 ชั่วโมงหรือมากกว่า ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องวางแผนกิจกรรมรอบการเข้าถึงห้องน้ำ ต้องตื่นปัสสาวะกลางคืน 3 ครั้งขึ้นไป ส่งผลให้นอนไม่พอ เกิดภาวะเหนื่อยล้าเรื้อรัง และมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ปัสสาวะไหลเป็นหยดหรือเป็นสายเล็กมาก ใช้เวลาปัสสาวะนานมากขึ้น บางครั้งอาจนานถึง 2 – 3 นาทีต่อครั้ง มีอาการปัสสาวะค้างในปริมาณมาก กระเพาะปัสสาวะไม่สามารถบีบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาจมีปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ ทำให้ต้องใช้แผ่นรองซับหรือผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและภาพลักษณ์ บางรายอาจเกิดภาวะปัสสาวะค้างเฉียบพลัน ไม่สามารถปัสสาวะได้เลย เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบพบแพทย์เพื่อสวนปัสสาวะทันทีคุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ การทำงาน และสุขภาพจิต
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์โดยด่วน
- ไม่สามารถปัสสาวะได้เลย ภาวะปัสสาวะค้างเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาทันที โดยคุณผู้อ่านจะรู้สึกปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง กระเพาะปัสสาวะบวมโป่ง และรู้สึกทรมานจากไม่สามารถปัสสาวะได้ แม้จะมีความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างมาก
- มีเลือดปนในปัสสาวะ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สีของปัสสาวะอาจเป็นสีชมพู แดง หรือน้ำตาลเข้ม บางครั้งอาจพบลิ่มเลือดปนออกมาด้วย
- มีไข้ หนาวสั่น ร่วมกับอาการปัสสาวะ อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่รุนแรงหรือการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมาก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจลุกลามเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นอันตรายถึงชีวิต
- ปวดบริเวณท้องน้อย หลัง หรือบริเวณเชิงกราน อาจเกิดจากการติดเชื้อ นิ่ว หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ความเจ็บปวดอาจมีลักษณะแตกต่างกัน เช่น ปวดตื้อๆ ต่อเนื่อง ปวดเป็นจังหวะ หรือปวดรุนแรงเฉียบพลัน และอาจร้าวไปที่หลังส่วนล่าง อัณฑะ หรือขาหนีบ
- ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่แบบทันทีทันใด อาจบ่งชี้ถึงปัญหาระบบประสาทหรือต่อมลูกหมากอักเสบ ผู้ป่วยอาจมีปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า หรือไม่สามารถชะลอการปัสสาวะได้แม้แต่เพียงไม่กี่วินาที
ผลกระทบของต่อมลูกหมากโตต่อคุณภาพชีวิต
ต่อมลูกหมากโตไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อจิตใจ อารมณ์ ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตประจำวันด้วย โดยเริ่มต้นตั้งแต่…
ผลกระทบต่อการนอนหลับ
อาการปัสสาวะกลางคืน เป็นอาการที่รบกวนการนอนหลับมากที่สุดในผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต
- การนอนไม่ต่อเนื่อง การต้องตื่นหลายครั้งเพื่อเข้าห้องน้ำทำให้วงจรการนอนถูกรบกวน
- คุณภาพการนอนลดลง การนอนหลับลึก (Deep sleep) และการนอนหลับฝัน (REM sleep) ซึ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายและสมอง ลดลงอย่างมาก
- ความเหนื่อยล้าในช่วงกลางวัน ผลจากการนอนไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ
- เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม
คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า…ผู้ป่วยต่อมลูกหมากโตที่มีอาการปัสสาวะกลางคืนตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงร้อยละ 20 – 30
ผลกระทบต่อสภาพจิตใจและอารมณ์
- ความวิตกกังวล อาจมีความกังวลว่าจะไม่สามารถหาห้องน้ำได้ทันเวลา หรือกังวลเกี่ยวกับอาการปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ในที่สาธารณะ
- ความอับอาย รู้สึกอับอายเมื่อต้องออกจากที่ประชุมหรือกิจกรรมทางสังคมบ่อยๆ เพื่อเข้าห้องน้ำ
- ความเครียด เกิดจากการต้องวางแผนกิจกรรมต่างๆ โดยคำนึงถึงการเข้าถึงห้องน้ำ
- ภาวะซึมเศร้า มีความสัมพันธ์ระหว่างอาการของต่อมลูกหมากโตกับภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการรุนแรง
จากการศึกษาในประเทศไทยพบว่า ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ชายที่มีอาการต่อมลูกหมากโตระดับปานกลางถึงรุนแรง มีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลร่วมด้วย ซึ่งส่งผลต่อการรักษาและการฟื้นตัว
ผลกระทบต่อกิจกรรมทางสังคม
- หลีกเลี่ยงการเดินทางระยะไกล เนื่องจากกังวลเรื่องการเข้าถึงห้องน้ำที่อาจหาได้ยาก
- ลดการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เช่น การไปชมภาพยนตร์ คอนเสิร์ต หรืองานสังสรรค์
- การแยกตัวจากสังคม ในกรณีที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจแยกตัวออกจากสังคมเพื่อหลีกเลี่ยงความอับอายหรือความไม่สะดวก
- ความสัมพันธ์ทางสังคมถดถอย การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคนรอบข้างลดลง
หลายคนเลือกที่จะจำกัดการดื่มน้ำเพื่อลดความถี่ในการปัสสาวะ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา
ผลกระทบต่อชีวิตคู่และความสัมพันธ์
- การนอนแยกห้อง บางคู่อาจต้องนอนแยกห้องเพราะฝ่ายชายต้องตื่นบ่อยในตอนกลางคืน รบกวนการนอนของคู่รัก
- ความสัมพันธ์ทางเพศ ผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโตอาจมีปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศลดลง หรือภาวะหลั่งเร็ว บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะหลั่งน้ำอสุจิ
- ความห่างเหิน ปัญหาสุขภาพและการนอนที่ไม่เพียงพออาจนำไปสู่อารมณ์หงุดหงิด และส่งผลให้เกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์
- ภาระของคู่สมรส คู่รักอาจต้องแบกรับภาระในการดูแลเพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
นอกจากผลกระทบโดยตรงจากอาการของต่อมลูกหมากโตแล้ว ยังอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาวได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ความดันโลหิตสูง การที่กระเพาะปัสสาวะต้องทำงานหนักเพื่อขับปัสสาวะผ่านท่อที่แคบลง อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- ปัญหาไต หากปัสสาวะไหลย้อนกลับสู่ไต อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและการทำงานของไตเสื่อมลง
- ภูมิคุ้มกันลดลง การนอนไม่เพียงพอเป็นระยะเวลานานส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- โรคหัวใจและหลอดเลือด มีความเชื่อมโยงระหว่างการนอนที่ไม่มีคุณภาพกับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
การตรวจคัดกรองที่จำเป็นสำหรับผู้ชายวัยทอง
ในเมื่อคุณผู้อ่านทราบถึงสัญญาณเตือนและรับรู้ถึงผลกระทบจากภาวะต่อมลูกหมากโตแล้ว การตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันและค้นพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะในผู้ชายวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคต่อมลูกหมากโต
การตรวจคัดกรองที่เหมาะสมและสม่ำเสมอสามารถช่วยวินิจฉัยปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาและคุณภาพชีวิต ลองมาดูกันว่าปัจจุบันมีลักษณะการตัดคัดกรองแบบใดบ้างที่สำคัญต่อผู้ชายวัยทอง
การตรวจคัดกรองต่อมลูกหมาก
1. การตรวจทางทวารหนัก (Digital Rectal Examination: DRE)
การตรวจทางทวารหนัก เป็นวิธีการตรวจพื้นฐานที่แพทย์ใช้ในการประเมินสภาพของต่อมลูกหมาก โดยแพทย์จะใช้นิ้วสวมถุงมือที่ทาเจลหล่อลื่นสอดเข้าไปในทวารหนัก เพื่อคลำต่อมลูกหมากผ่านผนังลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมิน
- ขนาดของต่อมลูกหมาก
- ความนุ่มแข็งของต่อมลูกหมาก
- ความสม่ำเสมอของพื้นผิว
- ความเจ็บปวดเมื่อสัมผัส
แม้การตรวจนี้อาจทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินสุขภาพต่อมลูกหมาก ซึ่งควรทำอย่างน้อยปีละครั้งสำหรับผู้ชายอายุมากกว่า 50 ปี หรือเริ่มตั้งแต่อายุ 45 ปีสำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคต่อมลูกหมากโตหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
2. การตรวจเลือดเพื่อหาค่า PSA (Prostate-Specific Antigen)
PSA เป็นโปรตีนที่ผลิตโดยต่อมลูกหมาก ระดับ PSA ในเลือดที่สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาของต่อมลูกหมาก เช่น การอักเสบ การติดเชื้อ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
ค่าปกติของ PSA จะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ
- อายุ 40-49 ปี: ไม่ควรเกิน 2.5 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
- อายุ 50-59 ปี: ไม่ควรเกิน 3.5 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
- อายุ 60-69 ปี: ไม่ควรเกิน 4.5 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
- อายุ 70 ปีขึ้นไป: ไม่ควรเกิน 6.5 นาโนกรัม/มิลลิลิตร
การตรวจ PSA ควรทำร่วมกับการตรวจทางทวารหนัก เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย โดยทั่วไปแนะนำให้ผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไปตรวจ PSA เป็นประจำทุกปี หรือเริ่มตั้งแต่อายุ 45 ปี สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
3. การตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมลูกหมาก
การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของต่อมลูกหมาก โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ควรทำเมื่อมีข้อบ่งชี้จากการตรวจร่างกายหรือผลการตรวจเลือด PSA ผิดปกติ ซึ่งมี 2 วิธีหลัก คือ
- การตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางหน้าท้อง แพทย์จะทาเจลบนหน้าท้องส่วนล่างและใช้เครื่องตรวจ สามารถประเมินขนาดของต่อมลูกหมากและปริมาณปัสสาวะที่ค้างในกระเพาะหลังปัสสาวะ
- การตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางทวารหนัก (TRUS) มีความแม่นยำกว่า โดยแพทย์จะสอดหัวตรวจขนาดเล็กเข้าไปในทวารหนัก ทำให้สามารถเห็นต่อมลูกหมากได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถวัดขนาด รูปร่าง และตรวจหาบริเวณที่ผิดปกติได้
4. การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะสามารถบ่งชี้การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะหรือความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมากโต โดยตรวจหา…
- เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (บ่งชี้การอักเสบหรือติดเชื้อ)
- เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ (อาจบ่งชี้การระคายเคืองหรือบาดเจ็บ)
- แบคทีเรียในปัสสาวะ (บ่งชี้การติดเชื้อ)
- โปรตีนในปัสสาวะ (อาจบ่งชี้ปัญหาที่ไต)
การตรวจคัดกรองระบบอื่นๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ชายวัยทอง
นอกจากการตรวจคัดกรองต่อมลูกหมากแล้ว ผู้ชายวัยทองควรได้รับการตรวจคัดกรองระบบอื่นๆ เพื่อดูแลสุขภาพองค์รวม ดังนี้…
1. การตรวจคัดกรองโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้ชายวัยทอง การตรวจที่สำคัญ ได้แก่
- การตรวจวัดความดันโลหิต ทำอย่างน้อยปีละครั้ง (ค่าปกติไม่ควรเกิน 130/80 มิลลิเมตรปรอท)
- การตรวจไขมันในเลือด ตรวจระดับคอเลสเตอรอลรวม, HDL, LDL และไตรกลีเซอไรด์ ทุก 1 – 2 ปี
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) แนะนำให้ทำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป และทำซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์
- การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีอาการที่สงสัยโรคหัวใจ
2. การตรวจคัดกรองเบาหวาน
เบาหวานเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ชายวัยทอง และมีความสัมพันธ์กับภาวะต่อมลูกหมากโต การตรวจที่แนะนำ คือ…
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ทุก 1 – 3 ปี (ค่าปกติน้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
- การตรวจระดับน้ำตาลสะสม ทุก 1 – 3 ปี (ค่าปกติน้อยกว่า 5.7%)
3. การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชายวัยทอง 13:04/68 โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปี การตรวจคัดกรองที่สำคัญ ที่แนะนำ คือ
- การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (FOBT) ควรทำทุกปี
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Sigmoidoscopy) ควรทำทุก 5 ปี
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (Colonoscopy) ทุก 10 ปี เริ่มตั้งแต่อายุ 50 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
4. การตรวจคัดกรองโรคตับ
โรคตับเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้ชายวัยทอง โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การตรวจที่สำคัญ
- การตรวจการทำงานของตับ (Liver Function Tests) ควรตรวจทุก 1 – 2 ปี
- การตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C
- การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ เมื่อมีข้อบ่งชี้หรือปัจจัยเสี่ยงสูง
5. การตรวจคัดกรองสุขภาพกระดูก
ผู้ชายวัยทองมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูก แม้จะน้อยกว่าผู้หญิงวัยทอง แต่ก็ควรได้รับการตรวจ
- การวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density Test) แนะนำสำหรับผู้ชายอายุมากกว่า 70 ปี หรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
6. การตรวจคัดกรองสุขภาพตา
ปัญหาสายตาและโรคตาเพิ่มขึ้นตามอายุ การตรวจที่แนะนำ:
- การตรวจวัดสายตาและความดันลูกตา ทุก 1 – 2 ปี
- การตรวจจอประสาทตา โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง
7. การตรวจคัดกรองสุขภาพฟัน
สุขภาพช่องปากมีความสัมพันธ์กับโรคระบบอื่นๆ รวมถึงโรคหัวใจ
- การตรวจสุขภาพฟันและช่องปาก ทุก 6 – 12 เดือน
8. การตรวจคัดกรองซึมเศร้าและสุขภาพจิต
ภาวะซึมเศร้าในผู้ชายวัยทองมักถูกมองข้าม แต่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก:
- การประเมินภาวะซึมเศร้า: อย่างน้อยปีละครั้ง โดยใช้แบบคัดกรองมาตรฐาน
นอกจากการตรวจตามแนะนำข้างต้นแล้ว อาหารและโภชนาการก็มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับภาวะต่อมลูกหมากโตไม้แพ้กัน โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการของโรคเท่านั้น แต่ยังอาจชะลอการเติบโตของต่อมลูกหมากและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วย
อาหารที่ควรรับประทาน
1. อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของต่อมลูกหมาก อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่…
- ผักและผลไม้สีสดใส เช่น มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง ผักโขม บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่
- ชาเขียว อุดมไปด้วยสารแคเทชิน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ดีเยี่ยม
- ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดฟักทอง
ผู้ชายที่บริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงอย่างน้อยวันละ 5 ส่วน มีความเสี่ยงของการเกิดอาการต่อมลูกหมากโตลดลงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคน้อยกว่า 2 ส่วนต่อวัน
2. ไขมันดี (โอเมก้า-3)
กรดไขมันโอเมก้า-3 มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบในต่อมลูกหมากได้ แหล่งของโอเมก้า-3 ที่ดี ได้แก่…
- ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล
- เมล็ดเจีย และเมล็ดแฟลกซ์ (ลินิน) อุดมไปด้วย ALA ซึ่งเป็นโอเมก้า-3 ชนิดหนึ่ง
- น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีประโยชน์
3. ซีลีเนียมและสังกะสี
แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่อสุขภาพต่อมลูกหมาก และการขาดอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดปัญหา แหล่งอาหารที่ดี ได้แก่…
- ซีลีเนียม บราซิลนัท ปลา ไข่ ข้าวกล้อง
- สังกะสี หอยนางรม เนื้อแดง ถั่ว เมล็ดพืช โยเกิร์ต
4. ไฟโตสเตอรอล
สารประกอบพืชที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอเลสเตอรอลในร่างกายมนุษย์ อาจช่วยลดการอักเสบและการเติบโตของต่อมลูกหมาก พบได้ใน…
- ถั่วและเมล็ดพืช ทั้งถั่วเปลือกแข็งและถั่วเมล็ดแห้ง
- น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา
- ผักและผลไม้ โดยเฉพาะอโวคาโด แอปเปิ้ล และมะเขือเทศ
5. อาหารที่มีไลโคปีน (Lycopene)
ไลโคปีนเป็นสารแคโรทีนอยด์ที่ให้สีแดงในผักและผลไม้ มีงานวิจัยแสดงว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเติบโตของต่อมลูกหมาก แหล่งอาหารที่มีไลโคปีนสูง ได้แก่…
- มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะมะเขือเทศปรุงสุก ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ
- ผลไม้สีแดง เช่น แตงโม กรีปฟรุต ฝรั่งสีชมพู
จากการศึกษาจาก American Journal of Clinical Nutrition พบว่า การบริโภคอาหารที่มีไลโคปีนสูงสัมพันธ์กับการลดลงของความเสี่ยงต่อมลูกหมากโตถึงร้อยละ 25
และแน่นอนว่ากลุ่มอาหารต่างๆ ที่เราได้แนะนำคุณผู้อ่านไปนั้น ก็มีอยู่ใน ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมสำหรับผู้ชายวัยทอง เพื่อสุขภาพต่อมลูกหมากและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับผู้ชายวัยทองที่กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและปัญหาสุขภาพต่อมลูกหมาก โดยผสานสารสกัดธรรมชาติ 7 ชนิดที่มีงานวิจัยรองรับคุณประโยชน์ ประกอบด้วย
1. สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลีเป็นที่รู้จักในฐานะ “ราชาแห่งสมุนไพร” มีสารจินเซนโนไซด์ที่ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนและการไหลเวียนเลือด ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพต่อมลูกหมาก การศึกษาพบว่าโสมเกาหลีช่วยลดอาการของภาวะต่อมลูกหมากโต เช่น อาการฉี่ไม่สุด และยังช่วยลดการอักเสบซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น
2. สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก หรือลูกซัด มีสารฟูโรสตาโนลิก ไกลโคไซด์ และซาโปนิน ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนซึ่งมักลดลงในผู้ชายวัยทอง นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเนื่องจากโรคเบาหวานและภาวะดื้อต่ออินซูลินเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดต่อมลูกหมากโต
3. แอล อาร์จีนีน
กรดอะมิโนชนิดนี้ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ รวมถึงต่อมลูกหมากและอวัยวะเพศชาย การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบเรื้อรังในต่อมลูกหมาก และช่วยให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการฉี่ไม่สุดซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของต่อมลูกหมากโต
4. สารสกัดกระชายดำ
กระชายดำ มีสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากกระบวนการอักเสบเรื้อรังในต่อมลูกหมากเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการเติบโตของต่อมลูกหมากผิดปกติ สารสกัดนี้ยังมีส่วนช่วยเพิ่มพลังงานและลดความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นอาการพบบ่อยในผู้ชายวัยทอง
5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์ เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อสุขภาพต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากมีความเข้มข้นของซิงค์สูงกว่าเนื้อเยื่ออื่นๆ ในร่างกาย การขาดซิงค์สัมพันธ์กับการเพิ่มขนาดของต่อมลูกหมากและความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ซิงค์ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและสุขภาพระบบสืบพันธุ์ รูปแบบคีเลทช่วยให้ร่างกายดูดซึมซิงค์ได้ดีขึ้น
6. สารสกัดจากแปะก๊วย
สารสกัดแปะก๊วย มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยปรับปรุงการไหลเวียนเลือด การศึกษาพบว่าสารสกัดแปะก๊วยอาจช่วยลดอาการของภาวะต่อมลูกหมากโต โดยลดความถี่ในการปัสสาวะและปรับปรุงการไหลของปัสสาวะ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการไหลของปัสสาวะช้าลงเนื่องจากท่อปัสสาวะถูกกดทับจากต่อมลูกหมากที่โตขึ้น
7. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า, วิตามินอี, แคลเซียม, สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะเซซามิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบและสนับสนุนสุขภาพทางเพศ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมความดันโลหิต ซึ่งเป็นประโยชน์มาก
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมสำหรับผู้ชายวัยทอง เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ชายวัยทองที่ต้องการดูแลสุขภาพต่อมลูกหมากและสุขภาพทางเพศโดยรวม แต่ไม่ใช่การทดแทนการตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือการปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสม และการติดตามดูแลทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้ชายวัยทองมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพแข็งแรง โดยแนะนำให้ทานครั้งละ 1 แคปซูล หลังอาหารมื้อใดก็ได้ที่สะดวกวันละ 1 ครั้ง และควรใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 – 3 เดือนเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
1. เนื้อแดงและไขมันสัตว์
เนื้อแดงและไขมันสัตว์อาจเพิ่มระดับฮอร์โมนที่กระตุ้นการเติบโตของต่อมลูกหมาก วัยทองหรือผู้ป่วยควรจำกัดการบริโภค
- เนื้อวัว โดยเฉพาะส่วนที่มีไขมันสูง
- เนื้อหมู ที่มีมันมาก
- เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน
2. ผลิตภัณฑ์นม
มีการศึกษาบางชิ้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคผลิตภัณฑ์นมในปริมาณสูง กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของต่อมลูกหมากโต โดยเฉพาะ
- นมไขมันเต็ม
- เนยแข็งที่มีไขมันสูง
- ไอศกรีม
3. คาเฟอีนและแอลกอฮอล์
คาเฟอีนและแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และอาจทำให้อาการของต่อมลูกหมากโตแย่ลง โดยเฉพาะอาการปัสสาวะบ่อยและปัสสาวะกลางคืน ควรจำกัด
- กาแฟ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายและเย็น
- ชาดำ
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทุกชนิด
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง
4. อาหารรสเผ็ดและเครื่องเทศบางชนิด
อาหารรสเผ็ดและเครื่องเทศบางชนิดอาจระคายเคืองต่อระบบทางเดินปัสสาวะและทำให้อาการของต่อมลูกหมากโตแย่ลง เช่น…
- พริก โดยเฉพาะพริกที่มีความเผ็ดสูง
- พริกไทย ในปริมาณมาก
- ซอสพริก และซอสที่มีรสเผ็ดจัด
5. อาหารแปรรูปและน้ำตาล
อาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูงและไขมันทรานส์ อาจเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อต่อมลูกหมาก ควรหลีกเลี่ยง…
- ขนมหวาน และเบเกอรี่
- อาหารทอด และขยะ
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารสำเร็จรูป ที่มีโซเดียมสูง
สรุป
การดูแลตนเองและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีบทบาทสำคัญในการจัดการภาวะต่อมลูกหมากโต วิธีการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และในบางกรณีอาจช่วยชะลอการดำเนินของโรคได้
สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะต่อมลูกหมากโต และตระหนักว่านี่เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยทอง ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย และสามารถจัดการได้ด้วยการรักษาและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเหมาะสม
นึกถึงสุขภาพ เราอยากให้คุณนึกถึงเรา ดีเน่ DNAe…