เมื่อก้าวเข้าสู่ “วัยทอง” คุณผู้อ่านหลายท่านน่าจะทราบดีว่า… ร่างกายของเรานั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะ การลดลงของอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในวัยทอง
โดยทั่วไปแล้ว…อัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานจะลดลงประมาณ 2 – 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปีหลังจากอายุ 30 ปี และอัตราการสูญเสียนี้จะเร่งขึ้นหลังจากอายุ 60 ปี เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจึงทำให้ความต้องการแคลลอรีรวมของร่างกายลดลงตามไปด้วยการลดลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงและการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่ช้าลง ในวัยทองก็มีผลกระทบต่อการควบคุมน้ำหนักและความต้องการแคลลอรีเช่นกัน ในผู้หญิงดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงหลังวัยหมดประจำเดือนจะทำให้แนวโน้มการสะสมไขมันรอบหน้าท้องเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ชายจะมีระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนที่ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้การสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อทำได้ยากขึ้น
ดังนั้น หากเรายังคงกินอาหารในปริมาณเดิมเหมือนตอนหนุ่มสาว แต่ร่างกายกลับเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นเป็นธรรมชาติ และยิ่งระบบย่อยอาหารที่เปลี่ยนไปในวัยทองจะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารลดลง กรดในกระเพาะอาหารมีปริมาณน้อยลง การทำงานของเอนไซม์ย่อยอาหารช้าลง และการเคลื่อนไหวของลำไส้ก็อาจช้าลงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้การดูดซึมโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ มีประสิทธิภาพลดลง
ลอง…มาหาคำตอบกันต่อว่า “อะไร” คือ ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการแคลลอรีในวัยทอง
การกำหนดความต้องการแคลลอรีที่เหมาะสมสำหรับวัยทองอย่างเรา ๆ ในแต่ละคนนั้น จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เนื่องจากความต้องการแคลลอรีของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายและวิถีการดำเนินชีวิต เริ่มต้นจาก…
- อายุ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุด โดยทั่วไปแล้ว…ความต้องการแคลลอรีจะลดลงเรื่อยๆ ตามอายุ โดย
- ผู้หญิงวัยทองอายุ 51 – 70 ปี ควรได้รับแคลลอรีประมาณ 1,600 – 2,000 แคลลอรีต่อวัน ขึ้นอยู่กับระดับกิจกรรม ขณะที่ผู้หญิงอายุมากกว่า 70 ปี อาจต้องการเพียง 1,600 – 1,800 แคลลอรีต่อวัน
- สำหรับผู้ชายวัยทองอายุ 51 – 70 ปี ความต้องการแคลลอรีอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 2,600 แคลลอรีต่อวัน และลดลงเป็น 2,000 – 2,400 แคลลอรีต่อวัน สำหรับผู้ชายอายุมากกว่า 70 ปี
- เพศ มีผลกระทบต่อความต้องการแคลลอรีอย่างชัดเจน ผู้ชายโดยทั่วไปจะมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง จึงมีอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานที่สูงกว่า นอกจากนี้…ผู้ชายยังมีแนวโน้มที่จะมีกิจกรรมทางกายที่มากกว่าในวัยทอง ทำให้ความต้องการแคลลอรีรวมสูงกว่าผู้หญิงประมาณ 200 – 400 แคลลอรีต่อวัน
- น้ำหนักและส่วนสูง เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อความต้องการแคลลอรี วัยทองที่มีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าจะมีอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานที่สูงกว่า เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการรักษาการทำงานของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า
- ระดับกิจกรรมทางกาย เป็นปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้และมีผลกระทบอย่างมากต่อความต้องการแคลลอรี วัยทองที่มีกิจกรรมทางกายน้อยจะต้องการแคลลอรีน้อยกว่า ผู้ที่มีกิจกรรมปานกลาง หรือสูงอย่างเห็นได้ชัด การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียงแต่เพิ่มความต้องการแคลลอรีเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานให้กับวัยทองอีกด้วย
- สภาวะสุขภาพ ที่มีอยู่ก็มีผลต่อความต้องการแคลลอรีเช่นกัน วัยทองที่มีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาไต อาจต้องปรับลดปริมาณแคลลอรี หรือเลือกแหล่งแคลลอรีที่เหมาะสม ในทางตรงกันข้าม…วัยทองที่กำลังฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยหรือการผ่าตัด อาจต้องการแคลลอรีมากขึ้นเพื่อช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ยาที่รับประทาน หลายชนิดอาจมีผลต่อความอยากอาหารและการเผาผลาญพลังงาน ยาบางชนิดอาจทำให้น้ำหนักของวัยทองเพิ่มขึ้นหรือลดลง ยาต้านซึมเศร้าบางชนิดอาจเพิ่มความอยากอาหาร ขณะที่ยาบางชนิดอาจลดความอยากอาหาร การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาที่อาจส่งผลต่อน้ำหนักจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อทราบแล้วว่า…ปัจจัยใดที่มีผลต่อความต้องการแคลลอรีในวัยทองแล้ว
ดังนั้น การคำนวณแคลลอรีที่เหมาะสำหรับร่างกายของวัยทองแต่ละท่าน จึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น!
คำนวณแคลลอรีอย่างไร? ให้เหมาะสมสำหรับวัยทอง
การคำนวณความต้องการแคลลอรีสำหรับวัยทองนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมและการปรับใช้ให้เข้ากับสภาพจริงของแต่ละบุคคลจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด เริ่มต้นด้วย…
- วิธี Harris-Benedict Equation
เป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการคำนวณอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน Basal Metabolic Rate หรือ BMR
- สำหรับผู้หญิง สูตรคำนวณคือ BMR
= 655 + (9.6 × น้ำหนักในกิโลกรัม) + (1.8 × ส่วนสูงในเซนติเมตร) – (4.7 × อายุในปี)
- สำหรับผู้ชาย สูตรคำนวณคือ BMR
= 66 + (13.7 × น้ำหนักในกิโลกรัม) + (5 × ส่วนสูงในเซนติเมตร) – (6.8 × อายุในปี)
ซึ่งหลังจากได้ค่า BMR แล้ว คุณผู้อ่านจะต้องคูณด้วยค่าสัมประสิทธิ์กิจกรรม ซึ่งสำหรับวัยทองที่มีกิจกรรมน้อยจะใช้ค่า 1.2 กิจกรรมเบาจะใช้ค่า 1.375 กิจกรรมปานกลางใช้ค่า 1.55 กิจกรรมหนักใช้ค่า 1.725 และกิจกรรมหนักมากใช้ค่า 1.9 และจะได้ออกมาเป็นผลลัพธ์ของแคลลอรีที่ควรรับประทานในแต่ละวันของวัยทองแต่ละท่านนั่นเอง
- วิธี Mifflin-St Jeor Equation
ถือว่าเป็นอีกวิธีการคำนวณที่มีแม่นยำกว่าสำหรับวัยทองในยุคปัจจุบัน
- สำหรับผู้หญิงวัยทอง สูตรคำนวณคือ BMR
= (10 × น้ำหนักในกิโลกรัม) + (6.25 × ส่วนสูงในเซนติเมตร) – (5 × อายุในปี) – 161
- สำหรับผู้ชายวัยทอง สูตรคำนวณคือ BMR
= (10 × น้ำหนักในกิโลกรัม) + (6.25 × ส่วนสูงในเซนติเมตร) – (5 × อายุในปี) + 5
เนื่องจากสูตรทั่วไปอาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในวัยทอง จึงควรปรับลดผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณลงประมาณ 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้สอดคล้องกับการลดลงของมวลกล้ามเนื้อและการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของอวัยวะต่างๆ
“ตัวอย่างการคำนวณ สำหรับผู้หญิงวัยทองอายุ 65 ปี น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 155 เซนติเมตร
ที่มีกิจกรรมเบา ใช้สูตร Mifflin-St Jeor จะได้ BMR =
(10 × 60) + (6.25 × 155) – (5 × 65) – 161 = 600 + 968.75 – 325 – 161 = 1,082.75 แคลลอรีต่อวัน
จากนั้นคูณด้วยค่าสัมประสิทธิ์กิจกรรม 1.375 จะได้ 1,088.78 × 1.375 = 1,497 แคลลอรีต่อวัน
หากปรับลด 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับวัยทองจะเหลือประมาณ 1,347 แคลลอรีต่อวัน”
สิ่งสำคัญที่วัยทองและคุณผู้อ่านทุกท่านต้องทราบไว้ คือ… สูตรเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้นในทางปฏิบัติ ความต้องการแคลลอรีของแต่ละคนอาจแตกต่างจากการคำนวณได้มาก การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและปรับปริมาณแคลลอรีตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาความต้องการแคลลอรีที่เหมาะสมกับตนเอง
ถ้าหากวัยทองทุกท่านสามารถคำนวณหรือกะแคลลอรีที่ควรได้รับต่อวันได้แล้ว ร่างกายก็จะได้รับพลังงานที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตประจำวันนั่นเอง ลองมาดูกันต่อว่า…ต่อไปเราจะเลือกแนวทางอาหารอย่างไร? ให้ดีต่อวัยทอง
แนวทางการกินอาหารที่ถูกต้องสำหรับวัยทอง
การเลือกอาหารในวัยทองไม่ควรมุ่งเน้นเพียงจำนวนแคลลอรีเท่านั้น แต่คุณภาพของแคลลอรีและการกระจายสารอาหารที่เหมาะสมมีความสำคัญมากกว่า…เนื่องจากร่างกายในวัยทองมีประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารลดลง จึงจำเป็นต้องเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้แต่แคลลอรีเปล่าๆ นั่นเอง
- การแบ่งสัดส่วนมาโครนิวเทรียนต์
สำหรับวัยทอง โปรตีนควรคิดเป็น 15 – 20 เปอร์เซ็นต์ของแคลลอรีทั้งหมด หรือประมาณ 1.0 – 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่าคำแนะนำสำหรับคนหนุ่มสาว เนื่องจากต้องการช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม
คาร์โบไฮเดรตควรอยู่ที่ 45 – 55 เปอร์เซ็นต์ของแคลลอรีทั้งหมด โดยเน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหารสูง และไขมันควรอยู่ที่ 25 – 35 เปอร์เซ็นต์ โดยเน้นไขมันดีจากแหล่งธรรมชาติ
- ความสำคัญของโปรตีน
ในวัยทองมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากช่วยชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อให้กับวัยทอง โดยแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับวัยทอง ได้แก่ ปลา ไก่ไม่ติดหนัง ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากนม การกระจายการรับประทานโปรตีนให้ทั่วทั้งวัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้โปรตีนของร่างกาย โดยควรรับประทานโปรตีนประมาณ 20 – 30 กรัมในแต่ละมื้อ
- เลือกคาร์โบไฮเดรตให้เหมาะสม
วัยทองควรเน้นคาร์โบไฮเดรตที่มี Glycemic Index ต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต แป้งจากธัญพืชเต็มเมล็ด ผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง คาร์โบไฮเดรตเหล่านี้จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และให้ความรู้สึกอิ่มที่นานมากขึ้น การหลีกเลี่ยงน้ำตาล แป้งขาว และอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลเติมสูงจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง หรือ NCDs ได้ดี
- ไขมันที่เป็นประโยชน์
ไขมันที่เป็นประโยชน์สำหรับวัยทองควรมาจากแหล่งที่มี Omega-3 สูง เช่น ปลาทะเล น้ำมันปลา ถั่ววอลนัท เมล็ดชีย่า เมล็ดแฟลกซ์ และน้ำมันมะกอก ไขมันเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบ สนับสนุนสุขภาพหัวใจและสมอง และช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันที่ดีให้วัยทอง
การหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวจากแหล่งสัตว์ที่มากเกินไปจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ความสำคัญของใยอาหาร
ใยอาหารจากผักในวัยทองนั้น มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงและมีแนวโน้มเกิดท้องผูกได้ง่าย ใยอาหารจะช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และให้ความรู้สึกอิ่มที่เหมาะสม วัยทองควรได้รับใยอาหารประมาณ 21 – 30 กรัมต่อวัน จากผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่วต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพบว่าวัยทองไม่กินผักเป็นจำนวนมาก เนื่องจากต่อมรับรสที่เปลี่ยนไป
- การดื่มน้ำที่เพียงพอ
นอกจากอาหารที่ให้โภชนาการที่ดีต่อร่างกายของวัยทองแล้วนั้น การดื่มน้ำสะอาดที่เพียงพอก็มีความสำคัญเป็นพิเศษในวัยทองไม่แพ้กัน 05:03/68 เนื่องจากความรู้สึกกระหายน้ำลดลงและไตทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ วัยทองควรดื่มน้ำอย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 30 – 35 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม การดื่มน้ำเปล่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก็สามารถเสริมด้วยชาใบหญ้าหวาน น้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาลเพื่อให้การดื่มน้ำสนุกและอร่อยมากขึ้น
เมื่อแบ่งสัดส่วนอาหารที่ควรให้พอดีต่อร่างกายตามการคำนวณแคลลอรีได้แล้ว ต่อไป…ลองมาดูอาหารที่เราควรเน้นรับประทานในวัยทอง – หลีกเลี่ยงกันต่อบ้าง…
อาหารที่ควรเน้นในวัยทอง
- ปลาและอาหารทะเล
แหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ย่อยง่ายและมี Omega-3 ที่ช่วยลดการอักเสบ สนับสนุนสุขภาพสมองและหัวใจ ปลาที่แนะนำ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาบะ ปลาแมกเคอเรล และกุ้ง หอย ปู ที่มีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ การรับประทานปลา 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้วัยทองได้รับประโยชน์ทางโภชนาการอย่างเต็มที่ - ไข่
เป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์แบบ เพราะมีกรดอะมิโนครบทุกชนิดที่ร่างกายของวัยทองต้องการ ย่อยง่าย และราคาไม่แพง ไข่ยังมีโคลีนที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง และเลซิตินที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน วัยทองสามารถรับประทานไข่ได้วันละ 1 – 2 ฟอง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องคอเลสเตอรอล หากไม่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะทาง - ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ
เช่น นมสด โยเกิร์ต และชีสคอทเทจ ให้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่จำเป็นสำหรับการรักษาความแข็งแรงของกระดูกของวัยทอง นอกจากนี้โปรไบโอติกส์ในโยเกิร์ตยังช่วยสนับสนุนสุขภาพของระบบย่อยอาหารและเสริมภูมิคุ้มกัน สำหรับวัยทองที่ย่อยแลคโตสได้ไม่ดี สามารถเลือกผลิตภัณฑ์นมที่ปราศจากแลคโตส หรือนมจากพืชที่เสริมแคลเซียมแทน - ถั่วและธัญพืช
ถั่วและธัญพืชแหล่งโปรตีนจากพืชที่มีใยอาหารสูง 05:02/68 ให้แคลลอรีที่คุ้มค่าและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของวัยทองให้คงที่ แนะนำเป็น ถั่วเหลือง เต้าหู้ เทมเป้ มีโปรตีนสมบูรณ์และไอโซฟลาโวนที่ช่วยสุขภาพหัวใจ ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี ถั่วดำ ถั่วแดง มีไฟเบอร์และแร่ธาตุสูง ควินัว ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ให้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ย่อยช้าและอิ่มนาน - ผักใบเขียวเข้ม
เช่น คะน้า ผักโขม บร็อกโคลี่ มีวิตามินเค แคลเซียม เหล็ก และโฟเลตสูง ช่วยสนับสนุนการสร้างเลือดและรักษาความแข็งแรงของกระดูก ผักเหล่านี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง - ผลไม้ที่มีสีสดใส
เช่น เบอร์รี่ ส้ม กีวี่ มะละกอ มีวิตามินซี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและสุขภาพผิว โดยแนะนำให้วัยทองเลือกทานผลไม้สดมากกว่าน้ำผลไม้เพื่อได้รับใยอาหารเต็มที่ - ถั่วแห้งและเมล็ดธัญพืช
เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ดเชีย เมล็ดฟักทอง ให้ไขมันดี โปรตีน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อวัยทอง แต่ควรรับประทานในปริมาณพอประมาณ เนื่องจากให้พลังงานแคลลอรีที่สูง แนะนำให้รับประทานประมาณ 1 ออนซ์ หรือ 28 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เหมาะสมต่อวัยทอง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดในวัยทอง
- อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง
เป็นประเภทอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารกระป๋อง และอาหารแช่แข็งที่ปรุงรสแล้ว โซเดียมส่วนเกินจะเพิ่มความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และปัญหาไต แนะนำให้วัยทองควรเลือกอาหารสดหรืออาหารที่มีโซเดียมต่ำแทน - น้ำตาลและขนมหวาน
อาหารประเภทนี้ให้แต่แคลลอรีเปล่าโดยไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของวัยทอง เช่น เค้ก คุกกี้ ลูกอม น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่เติมน้ำตาล อาหารเหล่านี้จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- ไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวส่วนเกิน
ได้รับจากอาหารทอด ขนมปัง เค้ก คุกกี้ เนย มาการีน และเนื้อที่มีไขมันสูง ไขมันเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีแคลลอรีสูงที่อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเกินควร - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แนะนำให้วัยทองควรจำกัดหรือหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีแคลลอรีสูงโดยไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งยังสามารถมีปฏิกิริยากับยาที่วัยทองรับประทานและเพิ่มความเสี่ยงของการหกล้มและอุบัติเหตุ
- อาหารที่มีเกลือสูง
ไม่ว่าจะเป็น… อาหารหมักดอง ปลาร้า ไส้กรอกหมู กุนเชียง และอาหารจานด่วน การรับประทานเกลือมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อความดันโลหิตและการทำงานของไต ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีประสิทธิภาพลดลงในวัยทอง
- คาเฟอีนส่วนเกิน
จากกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง อาจทำให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับ ความวิตกกังวล และการเสียน้ำ แนะนำให้วัยทองควรจำกัดการดื่มกาแฟไม่เกิน 2 – 3 แก้วต่อวัน และหลีกเลี่ยงการดื่มหลัง 2 โมงเย็น
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยและการปรับแคลลอรี
วัยทองส่วนใหญ่…มักจะมีปัญหาสุขภาพจากการที่จะต้องปรับแต่งการรับประทานอาหารและการคำนวณแคลลอรีให้เหมาะสม การเข้าใจถึงผลกระทบของโรคต่างๆ ต่อความต้องการแคลลอรีจะช่วยให้การวางแผนอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เป็นโรคที่พบบ่อยในวัยทองและมีผลต่อการคำนวณแคลลอรีอย่างมาก ผู้ป่วยเบาหวานต้องการการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งหมายถึงการจำกัดแคลลอรีอาจจำเป็น หากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนัก 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ จะช่วยปรับปรุงการควบคุมน้ำตาลในเลือดได้อย่างชัดเจน การแบ่งมื้ออาหารให้เป็น 3 มื้อหลักและ 2 – 3 มื้อเล็ก จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ การเน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและหลีกเลี่ยงน้ำตาลเติมเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้วัยทองอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับการใช้ยาเบาหวาน เพราะหากลดเองและมีความวิตกกังวลร่วม อาจทำให้เกิดโรคการกินผิดปกติในวัยทองต่อได้ 10:05/68 - ความดันโลหิตสูง
พบได้บ่อยในวัยทองและผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับน้ำหนักตัวและการเลือกอาหาร การลดน้ำหนักเพียง 2 – 3 กิโลกรัม สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างเห็นได้ชัด การจำกัดโซเดียมไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ 1,500 มิลลิกรัม การเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมจากผักและผลไม้จะช่วยสมดุลผลกระทบของโซเดียม แผนการรับประทานอาหารแบบ DASH (Dietary Approaches to Stop Hypertension) ที่เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนไขมันต่ำ เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความดันโลหิตได้ในวัยทอง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
วัยทองที่ต้องการการปรับลดแคลลอรีจากไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ไม่เกิน 5 – 6 เปอร์เซ็นต์ของแคลลอรีทั้งหมด การเพิ่มไขมันไม่อิ่มตัวจาก Omega-3 และการจำกัดคอเลสเตอรอลไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยปรับปรุงระดับไขมันในเลือด คลอดจนการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและการออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นส่วนสำคัญของการรักษา
- โรคไต
ในระยะเริ่มต้นวัยทองอาจจะต้องจำกัดโปรตีนลงเป็น 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และการจำกัดโซเดียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ตลอดจนการดื่มน้ำอาจต้องมีการควบคุมในระยะที่โรคลุกลาม การปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนอาหารที่เหมาะสม
- โรคกระดูกพรุน
เพื่อให้ห่างจากโรคนี้ วัยทองต้องการเพิ่มแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนและ 1,000 มิลลิกรัมสำหรับผู้ชาย การเพิ่มวิตามินดี 800 – 1,000 IU ต่อวัน นอกจากนี้การออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนัก จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกต่อวัยทองได้ดี
- ปัญหาการย่อยอาหาร
เช่น โรคกรดไหลย้อน ท้องผูก หรือท้องเสีย แนะนำให้วัยทองรับประทานอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยครั้ง และเพิ่มใยอาหารจากผักและผลไม้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และการหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการ จะช่วยปรับปรุงอาการที่เกิดขึ้นได้
- ภาวะซึมเศร้าและความเหงา 07:01/68
เป็นภาวะที่พบบ่อยในวัยทอง…โดยอาจส่งผลต่อความอยากอาหารและการเลือกอาหาร บางคนอาจกินน้อยเกินไปจนขาดสารอาหาร ขณะที่บางคนอาจหันไปกินอาหารไร้คุณค่าทางโภชนาการมากเกินไป การสร้างสภาพแวดล้อมการรับประทานอาหารที่ดี การรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อน และการใส่ใจในรสชาติและการนำเสนออาหาร จะช่วยเสริมสร้างความสุขในการรับประทานอาหารให้กับวัยทองได้เป็นอย่างดี
เพื่อให้คุณผู้อ่านมองเห็นแคลลอรีของอาหารแต่ละชนิดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น… เราก็ได้ลองจัดแผนมื้ออาหารที่เหมาะสมต่อร่างกายของวัยทองต่อวัน มาให่้ดูได้เป็นตัวอย่างด้วย
หลักการสำคัญในการวางแผนอาหาร
- การกระจายแคลลอรีตลอดทั้งวัน
ควรแบ่งเป็น 3 มื้อหลัก คิดเป็นประมาณ 25 – 30 เปอร์เซ็นต์ในมื้อเช้า และ 30 – 35 เปอร์เซ็นต์ในมื้อกลางวัน และ 25 – 30 เปอร์เซ็นต์ในมื้อเย็น ส่วนที่เหลือเป็นมื้อว่างเช้าและบ่าย การกระจายแคลลอรีแบบนี้จะช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่ตลอดทั้งวันและลดความรู้สึกหิวจัดที่อาจนำไปสู่การกินมากเกินไป
- ความหลากหลายของอาหาร
เป็นสิ่งสำคัญในการรับประทานสารอาหารครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงประเภทอาหารในแต่ละวันจะช่วยป้องกันความเบื่อหน่ายและเพิ่มโอกาสในการได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ควรมีผักผลไม้หลากสีในแต่ละวัน โปรตีนจากทั้งสัตว์และพืช และคาร์โบไฮเดรตจากธัญพืชเต็มเมล็ด
- การปรับใช้ตามความชอบส่วนตัว
แผนอาหารตัวอย่างสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับรสนิยม และความต้องการเฉพาะของวัยทองแต่ละคน หากไม่ชอบปลา สามารถเปลี่ยนเป็นไก่หรือเต้าหู้ หากแพ้นม สามารถใช้นมจากพืชแทน การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เท่าเทียมกัน
แผนอาหาร 1,400 แคลลอรี สำหรับผู้หญิงวัยทองที่มีกิจกรรมน้อย
มื้อเช้า (350 แคลลอรี)
- ข้าวโอ๊ต 1/2 ถ้วย ปรุงด้วยนมสดไขมันต่ำ 1/2 ถ้วย (150 แคลลอรี)
- เบอร์รี่รวม 1/2 ถ้วย (40 แคลลอรี)
- อัลมอนด์สับ 1 ช้อนโต๊ะ (90 แคลลอรี)
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (20 แคลลอรี)
- ชาเขียวหรือกาแฟดำ 1 แก้ว (5 แคลลอรี)
อาหารว่างช่วงเช้า (100 แคลลอรี)
- โยเกิร์ตกรีกไขมันต่ำ 1/2 ถ้วย (100 แคลลอรี)
มื้อกลางวัน (400 แคลลอรี)
- สลัดผักใบเขียวเข้ม 2 ถ้วย (20 แคลลอรี)
- ปลาแซลมอนย่าง 3 ออนซ์ (180 แคลลอรี)
- ถั่วลันเตาต้ม 1/2 ถ้วย (115 แคลลอรี)
- มะเขือเทศราชิณี 1/2 ถ้วย (15 แคลลอรี)
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา (40 แคลลอรี)
- น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ (0 แคลลอรี)
อาหารว่างช่วงบ่าย (150 แคลลอรี)
- แอปเปิ้ล 1 ลูกกลาง (80 แคลลอรี)
- เนยถั่วอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ (95 แคลลอรี)
มื้อเย็น (400 แคลลอรี)
- ข้าวกล้อง 1/2 ถ้วย (110 แคลลอรี)
- ไก่ย่างไม่ติดหนัง 3 ออนซ์ (140 แคลลอรี)
- บร็อกโคลี่นึ่ง 1 ถ้วย (25 แคลลอรี)
- แครอทต้ม 1/2 ถ้วย (25 แคลลอรี)
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา (40 แคลลอรี)
แผนอาหาร 1,800 แคลลอรี สำหรับผู้ชายวัยทองที่มีกิจกรรมปานกลาง
มื้อเช้า (450 แคลลอรี)
- ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น (160 แคลลอรี)
- ไข่ต้ม 2 ฟอง (140 แคลลอรี)
- อะโวคาโด 1/4 ลูก (60 แคลลอรี)
- มะเขือเทศ 1/2 ลูก (15 แคลลอรี)
- นมสดไขมันต่ำ 1 แก้ว (90 แคลลอรี)
อาหารว่างช่วงเช้า (200 แคลลอรี)
- กล้วยหอม 1 ลูกกลาง (105 แคลลอรี)
- วอลนัท 1/4 ถ้วย (185 แคลลอรี)
มื้อกลางวัน (500 แคลลอรี)
- ข้าวกล้อง 3/4 ถ้วย (165 แคลลอรี)
- ปลาทูน่าในน้ำ 1 กระป๋อง (120 แคลลอรี)
- ผักรวมผัด 1 ถ้วย (50 แคลลอรี)
- น้ำมันคาโนลา 1 ช้อนโต๊ะ (120 แคลลอรี)
- แตงกว 1/2 ถ้วย (8 แคลลอรี)
อาหารว่างช่วงบ่าย (200 แคลลอรี)
- โยเกิร์ตกรีก 3/4 ถ้วย (130 แคลลอรี)
- เมล็ดเชีย 1 ช้อนโต๊ะ (70 แคลลอรี)
มื้อเย็น (450 แคลลอรี)
- ข้าวโอ๊ต 1/2 ถ้วย (80 แคลลอรี)
- เต้าหู้ย่าง 4 ออนซ์ (180 แคลลอรี)
- ผักโขมลวก 1 ถ้วย (40 แคลลอรี)
- มันฝรั่งอบ 1 ลูกกลาง (110 แคลลอรี)
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา (40 แคลลอรี)
นอกจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และแคลลอรีที่ดีต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจาก ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) เพื่อนคู่ใจสำหรับสุขภาพในผู้หญิงวัยทองก็ห้ามพลาด ขอให้เข้าใจกันก่อนว่าทำไมในวัยนี้เราถึงต้องดูแลตัวเองแบบพิเศษ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าเมื่อเข้าสู่วัยทอง ร่างกายของเราเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ระบบย่อยอาหารของเราทำงานช้าลง การดูดซึมสารอาหารไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม และที่สำคัญคือฮอร์โมนในร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะสำหรับสตรีหลังวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมหลายด้าน
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะผู้หญิงในวัยทอง สิ่งที่น่าประทับใจ คือ การเลือกสรรสารสกัดแต่ละชนิดไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เพราะคิดค้นโดยผู้เชี่ยวชาญและเป็นสูตรจากคุณหมอและเภสัชกรผ่านสารสกัดธรรมชาติเข้มข้นถึง 6 ชนิด
- 1. สารสกัดจากถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองที่นำเข้าจากประเทศสเปนในผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่ถั่วเหลืองธรรมดา แต่เป็นสารสกัดที่มีไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงเรียกว่า “ฟิโตเอสโตรเจน” หรือเอสโตรเจนจากพืช
เมื่อเราเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะผลิตเอสโตรเจนน้อยลง ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลืองจะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปนี้อย่างอ่อนโยน ไม่รุนแรงเหมือนการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์
- 2. สารสกัดจากตังกุย
ตังกุย สมุนไพรจีนโบราณที่มีชื่อเสียงในการดูแลสุขภาพสตรีวัยทองและช่วยบำรุงโลหิต ทำให้ผิวพรรณดูสดใส มีน้ำมีนวล การที่ผลิตภัณฑ์ใส่ตังกุยเข้าไปด้วยแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจในการดูแลสุขภาพสตรีอย่างครอบคลุม
- 3. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย หรือ Ginkgo Biloba พืชโบราณที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก สามารถอยู่รอดได้หลายพันปี สารสกัดจากใบแปะก๊วยมีสรรพคุณดีเด่นในการช่วยเสริมสร้างการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะการไหลเวียนไปยังสมอง
สำหรับวัยทองที่เริ่มมีปัญหาความจำเสื่อม คิดช้า หรือสมาธิไม่ดี สารสกัดจากแปะก๊วยจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ช่วยให้ความจำดีขึ้น คิดไว และรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
- 4. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ เป็นยาบำรุงไต บำรุงตับ และช่วยให้ผมดำ ผิวเด็ก งาดำอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม วิตามิน E และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ สำหรับคนวัยทองที่เริ่มมีปัญหาผมร่วง ผมหงอก หรือผิวเริ่มเหี่ยวย่น งาดำจะช่วยชะลอกระบวนการเหล่านี้ให้ช้าลง ทำให้เราดูอ่อนเยาว์กว่าวัย
- 5. แครนเบอร์รี่ออร์แกนิค
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้สีแดงเข้มที่มีชื่อเสียงในการดูแลสุขภาพทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะการป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยทอง
แครนเบอร์รี่ออร์แกนิคจะให้คุณค่าที่บริสุทธิ์กว่าแครนเบอร์รี่ทั่วไป เพราะปลอดจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ่ย นอกจากจะช่วยดูแลระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- 6. อินูลิน พรีไบโอติก
ตัวสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คืออินูลิน ซึ่งเป็นพรีไบโอติกธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ ช่วยให้แบคทีเรียดีเจริญเติบโตและทำงานได้ดี ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติ ดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันด้วย เพราะลำไส้เป็นอวัยวะที่สำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของผู้ชายโดยเฉพาะ หลังจากอายุ 50 ปีขึ้นไป ร่างกายของวัยทองจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การลดลงของระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนในผู้ชาย ซึ่งจะส่งผลต่อพลังงาน การสร้างกล้ามเนื้อ และความมั่นใจในตัวเอง
นี่คือจุดที่ ดีเน่ แอนโดรพลัส เข้ามามีบทบาท ผลิตภัณฑ์นี้ได้รวบรวมสารสกัดจากธรรมชาติถึง 7 ชนิดที่มีงานวิจัยรองรับ เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมในวัยผู้ใหญ่
- 1. สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลี เป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้งานมายาวนานกว่า 2,000 ปี และได้รับการยอมรับในแวดวงการแพทย์สมัยใหม่ในฐานะสารอะแดปโตเจน (Adaptogen) ที่ช่วยให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับความเครียดได้ดีขึ้น สำหรับผู้สูงอายุแล้ว โสมเกาหลีมีประโยชน์หลายด้าน โดยเฉพาะช่วยเสริมสร้างพลังงานและลดความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยทอง เนื่องจากอัตราการเผาผลาญพลังงานที่ลดลงตามธรรมชาติ นอกจากนี้ โสมยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีแนวโน้มอ่อนแอลงเมื่ออายุมากขึ้น
- 2. สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในเรื่องการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับวัยทอง เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นตามอายุ นอกจากนี้ ฟีนูกรีกยังมีสารที่เรียกว่า saponins ซึ่งการศึกษาพบว่าอาจช่วยเสริมการทำงานของฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนในผู้ชาย การรักษาระดับฮอร์โมนนี้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกระดูก และอารมณ์ที่ดี
- 3. แอล อาร์จีนีน
แอล อาร์จีนีนเป็นกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ในร่างกาย ไนตริกออกไซด์เป็นสารที่ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ซึ่งดีต่อวัยทอง การไหลเวียนของเลือดที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้หัวใจทำงานได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 4. สารสกัดกระชายดำ
กระชายดำ เป็นสมุนไพรไทยที่มีประวัติการใช้งานมายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องการเสริมสร้างความแข็งแรงและชีวิตชีวา นอกจากนี้ กระชายดำยังมีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าอาจช่วยเสริมการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนในวัยทอง
- 5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์ เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมากสำหรับวัยทอง แต่ก็เป็นแร่ธาตุที่ขาดได้ง่ายเช่นกัน เนื่องจากการดูดซึมซิงค์จะลดลงตามอายุ และความต้องการซิงค์กลับเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซิงค์มีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาระดับฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การซ่อมแซมแผล และการรักษาสุขภาพของผิวหนัง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่วัยทองต้องให้ความสำคัญ
- 6. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในเรื่องการช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพของสมองและการไหลเวียนของเลือด ในวัยทองที่การทำงานของสมองอาจเริ่มลดลง การได้รับสารที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพของสมองจึงมีความสำคัญ
- 7. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ เป็นเมล็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะในเรื่องของแร่ธาตุและไขมันดี งาดำอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และไขมัน Omega-3 และ Omega-6 ในสัดส่วนที่เหมาะสม
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
การใช้ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) อยากให้ทุกคนควรมองในแง่ของการลงทุนเพื่อสุขภาพระยะยาว การเสริมสร้างสุขภาพในวัยทองไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นผลในทันที แต่เป็นการสะสมประโยชน์เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในปีต่อๆ ไป แนะนำให้รับประทานวันละ 1 แคปซูลพร้อมอาหารมื้อใดก็ได้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2 – 3 เดือน เนื่องจากร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลและสร้างสารต่างๆ ที่จำเป็นการติดตามผลลัพธ์โดยการสังเกตระดับพลังงาน คุณภาพการนอนหลับ อารมณ์ และความรู้สึกโดยรวมจะช่วยให้เราประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างแม่นยำ
สรุป
หัวใจสำคัญของการควบคุมแคลลอรีในวัยทองไม่ได้อยู่ที่การอดอาหารหรือการนับแคลลอรีอย่างเข้มงวด แต่อยู่ที่การเลือกคุณภาพของแคลลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากความต้องการแคลลอรีลดลง แต่ความต้องการสารอาหารหลักกลับเพิ่มขึ้น การเลือกอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงจึงเป็นกุญแจสำคัญ
ปัจจัยที่หลายคนมองข้าม คือ ผลกระทบของการนอนหลับและการจัดการความเครียดต่อการควบคุมน้ำหนัก ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมัน ขณะที่การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้ฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวทำงานผิดปกติ การสร้างสมดุลในทุกด้านของชีวิตจึงเป็นส่วนสำคัญของการรักษาน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จ
และเพื่อให้คุณผู้อ่านได้ดูแลสุขภาพตนเองแบบ X2… ก็อย่าลืมดีเน่ DNAe…